แพทย์ประจำพระพุทธองค์คนแรก (และคนเดียว) | เสฐียรพงษ์ วรรณปก

สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา (19)

ท่านผู้นี้คือหมอชีวก โกมารภัจจ์ (ชาวบ้านทั่วไปอ่าน ชีวะกะ ไม่รู้ “กะ” ได้ยังไง เพราะไม่ประวิสรรชนีย์!)

ท่านเป็นบุตรนางนครโสเภณี นามสาลวดี ตำแหน่ง “นครโสเภณี” (ตามศัพท์แปลว่าผู้หญิงยังเมืองให้งดงาม) เป็นตำแหน่งพระราชาทรงแต่งตั้ง โดยคัดเลือกสตรีผู้เลอโฉม มีความรู้ความสามารถในการให้ความบันเทิงเริงรมย์แก่แขกเมืองผู้มีเกียรติ เพื่อเป้าหมายคือ “ดึงดูดเงินตรา” เข้าประเทศ

ต่อมาภายหลังเท่านั้นอาชีพนี้ได้ลดคุณค่าลง

นางสาลวดีมีบุตรขึ้นมาด้วยความเผลอไผลไม่ตั้งใจ ถ้าเป็นบุตรสาวก็อาจเลี้ยงไว้เพื่อสืบทอดตำแหน่งในวันหน้า แต่บังเอิญเป็นบุตรชาย นางจึงให้นำไปทิ้งไว้หน้าประตูวัง

แสดงว่าไม่ต้องการทิ้งจริงๆ คะเนว่าเวลาเช้าเจ้าชายอภัย พระราชโอรสพระเจ้าพิมพิสารมักเสด็จจากวังไป “จ๊อกกิ้ง” ทางประตูนั้น จึงให้สาวใช้เอาเด็กใส่กระด้งไปวางไว้ใกล้ประตูวัง

โดยสาวใช้ยืนดูอยู่ห่างๆ

ทุกอย่างเป็นไปตามคาด เจ้าชายอภัยเสด็จออกมา ได้เห็นหมู่นกการ้องเซ็งแซ่อยู่ใกล้ๆ จึงรับสั่งให้มหาดเล็กไปดูว่านกกามันร้องทำไม มหาดเล็กกลับมากราบทูลว่า นกกามันเฝ้าเด็กคนหนึ่งมีคนทิ้งเอาไว้

ตรัสถามว่า “ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่” เมื่อได้รับรายงานว่า มีชีวิตอยู่ (ชีวโกติ) จึงเสด็จไปดูและนำไปเลี้ยงเป็นโอรสบุญธรรม

ได้ขนานนามเด็กน้อยว่า “ชีวก” (แปลว่า มีชีวิตอยู่ หรือแปลแบบไทยๆ ว่า “บุญยัง”) เพราะทรงเลี้ยงเหมือนลูกที่เกิดในวังจึงมีสร้อยนามว่า “โกมารภัจจ์”

ชีวก โกมารภัจจ์ หนีพระบิดาบุญธรรมไปเรียนศิลปวิทยาที่ตักสิลา 7 ปี

วิชาที่เรียนคือแพทย์แผนโบราณ อยู่รับใช้อาจารย์ไปด้วยเรียนด้วย จนเมื่อยามอยากกลับบ้านนั้นแหละได้ถามอาจารย์ว่าตนเรียนจบหรือยัง

อาจารย์ทดสอบด้วยการให้ออกจากสำนักไปหาตัวอย่างใบไม้ เปลือกไม้ รากไม้ ที่ใช้ทำยาไม่ได้ ชีวกไปทั้งวันก็ไม่ได้มาสักอย่าง เพราะรู้ว่าต้นไม้ทุกต้น สมุนไพรทุกชนิด ใช้ทำยาได้หมด

อาจารย์จึงกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นเธอจบแล้ว”

ลาอาจารย์กลับบ้านไปหาพระบิดาบุญธรรม บังเอิญช่วงนั้นพระเจ้าพิมพิสาร เสด็จปู่ทรงประชวรด้วยโรค “ภคันทรา” (ริดสีดวงทวาร) ได้ถวายการรักษาจนหาย ได้รับบำเหน็จความดีความชอบมากมาย พร้อมได้รับแต่งตั้งให้เป็นแพทย์หลวงประจำราชสำนักเมืองราชคฤห์

ในช่วงเวลาดังกล่าว พระเทวทัต ผู้ถูกลาภสักการะครอบงำอยากใหญ่ คิดปฏิวัติพระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้นเถอะ ได้แรงอุปถัมภ์จากเจ้าชายอชาตศัตรู ผู้หลงผิดเพราะถูก “ล้างสมอง” วางแผนกำจัดพระพุทธเจ้าต่างๆ นานา แต่ละแผนล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ด้วยพุทธานุภาพ แต่ก็ทำความลำบากให้พระพุทธองค์พอสมควร

ครั้งหนึ่งเทวทัตขึ้นบนเขาคิชฌกูฏ กลิ้งก้อนหินลงมาหมายให้ทับพระพุทธองค์ แต่ก้อนหินกลิ้งไปปะทะชะง่อนผา กระเด็นไปอีกทางหนึ่ง ถึงกระนั้นเศษหินได้กระเด็นไปต้องพระบาทจนห้อพระโลหิตทรงได้รับทุกขเวทนา

พระสงฆ์จึงนำพระพุทธองค์ไปยังสวนมะม่วงของหมอชีวก ซึ่งอยู่เชิงเขาคิชฌกูฏ แล้วไปตามหมอชีวกมาถวายการรักษา

สวนมะม่วงนี้ หมอชีวกได้รับพระราชทานจากพระเจ้าพิมพิสาร ได้ถวายให้เป็นวัดสำหรับประทับของพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ มีนามว่า “ชีวกัมพวัน” (ปัจจุบันซากปรักหักพังปรากฏอยู่)

หมอชีวกได้ใส่ยาสมานแผลแล้วเอาผ้าพันไว้ กราบทูลว่า ตอนเย็นจะกลับมาเอาผ้าออก เขาได้เข้าไปดูคนไข้ในเมือง วุ่นวายอยู่กับคนไข้จนถึงค่ำ นึกขึ้นว่าได้เวลาแก้ผ้าพันแผลจากพระบาทพระพุทธเจ้า จึงรีบจะออกนอกเมือง

แต่ประตูเมืองปิดเสียก่อน ออกมาชีวกัมพวันไม่ได้

เช้าขึ้นก็รีบมาเฝ้า กราบทูลถามว่า เมื่อคืนพระองค์ทรงมีพระอาการร้อนหรือไม่ (เพราะถ้าไม่แก้ผ้าออก คนไข้จะมีอาการร้อนทั่วกาย) พระพุทธองค์ทรงรับสั่งให้พระอานนท์แก้ออกตามเวลากำหนดแล้ว จึงมิได้มีพระอาการดังกล่าว ทรงทราบว่าหมอชีวกหมายถึงร้อนแบบไหน แต่ทรงต้องการตรัสเทศนาสอนหมอชีวก จึงตรัสว่า

“ตถาคตดับความร้อนทุกชนิดได้แล้ว ตั้งแต่วันตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ณ โคนต้นโพธิ์” แล้วได้ตรัสพระคาถาว่า

คตทฺธิโน วิโสกสฺส วิปฺปมุตฺตสฺส สพฺพธิ

สพฺพคนนฺถปฺหีนสฺส ปริฬาโห น วิชฺชติ

“ผู้เดินทางมาจนสุดทางแห่งสังสารวัฏ หมดความโศก หลุดพ้น ไม่ยึดมั่นสิ่งใดๆ แล้ว ไม่มีความเร่าร้อน ไม่ว่าร้อนภายนอก (กาย) หรือร้อนภายใน (ใจ)”

หมอชีวก โกมารภัจจ์ ได้เป็นนายแพทย์ประจำพระพุทธองค์คนแรกและคนเดียวในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา

เขาได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์ได้บรรลุโสดาปัตติผล ได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ใน “เอตทัคคะ” (ความเป็นผู้เลิศกว่าผู้อื่น) ในทางเป็นที่รักของปวงชน