เครื่องเคียงข้างจอ/ วัชระ แวววุฒินันท์ /Parasite ดูแล้วอึ้ง

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

Parasite ดูแล้วอึ้ง

 

วันก่อนได้มีโอกาสไปชมภาพยนตร์เกาหลีเรื่อง Parasite มา หลังจากที่ทราบข่าวคราวและกระแสของหนังเรื่องนี้มาสักพักแล้ว และตั้งใจว่าจะดูให้ได้

พบหน้าโหน่ง วงศ์ทนง แห่ง The Standard วันก่อน ก็ทักเป็นประโยคแรกว่า ได้ดูเรื่องนี้หรือยัง พร้อมสำทับว่า ต้องไปดู หนังชวนติดตามตลอดจนจบเลย

หนังที่มีความยาว 2 ชั่วโมงแล้วยังชวนติดตามตลอดจนจบได้นี่ ต้องไม่ธรรมดา

เจอหน้าคนอื่นที่ได้ไปดูมาแล้วก็พูดทำนองเดียวกัน แถมบางคนยังเสริมด้วยว่า ดูจบกลับมาบ้านแล้ว หนังมันยังวิ่งวนอยู่ในหัวอยู่เลย

 

พอได้โอกาสเลยตรงดิ่งไปทันที ผมเลือกดูที่โรง House RCA เพราะชอบการดูหนังที่นี่เป็นพิเศษตรงที่ พอเข้าโรงมีหนังตัวอย่างแค่เรื่องเดียวก็เป็นเพลงสรรเสริญพระบารมี แล้วก็ได้ชมหนังเลย ทันใจดี

และที่ดีใจคือ รอบที่ไปดูมีคนดูเกือบเต็มโรง ซึ่งหาไม่บ่อยนักที่หนังที่ฉายที่นี่จะมีคนดูมากอย่างนี้

คงจะเป็นผลพวงจากกระแสของหนังเอง และไม่รู้ว่าที่คนมาดูที่นี่กันไม่น้อยเพราะข่าวคราวว่าโรง House RCA จะปิดตัวลงในไม่กี่สัปดาห์นี้แล้วด้วยรึเปล่า ก่อนจะไปเปิดแถวสามย่านแทน

ส่วนหนึ่งของกระแสนั้นก็คือ การที่ Parasite ไปได้รางวัลปาล์มทองคำมาจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ในปีนี้ เลยยิ่งทำให้คนอยากไปพิสูจน์ว่าเด็ดแค่ไหน

โดยบางคนอาจจะแอบหวั่นใจว่า หนังรางวัลเมืองคานส์จะดูยาก ไม่เข้าใจรึเปล่า เหมือนบางคนที่เคยรู้สึกเมื่อได้ดูหนังรางวัลเมืองคานส์หลายเรื่องมาก่อน

 

หนังเรื่อง Parasite เป็นผลงานการกำกับฯ ของบอง จุน โฮ ผู้กำกับฯ ชาวเกาหลีใต้ ที่ฝากผลงานมาแล้วในเรื่อง Snowpiercer ที่เขาลงทุนกับอเมริกา เข้าฉายบ้านเราเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว สร้างกระแสความสนใจได้พอสมควร

โดยก่อนหน้านี้เขาแจ้งเกิดกับหนังสัญชาติเกาหลีเรื่อง Memories of Murder เมื่อ 15 ปีก่อน ว่าด้วยคดีดังในอดีตเกี่ยวกับฆาตกรต่อเนื่อง

ผลงานอื่นๆ ก็มี The Host, Mother และ Okja

โดยเฉพาะเรื่องนี้เขาทำกับ Netflix และได้ฉายในเทศกาลเมืองคานส์ในปี 2016 มาแล้ว

 

สําหรับเรื่อง Parasite ว่าด้วยเรื่องของครอบครัวชาวเกาหลีใต้ 2 ครอบครัวที่มาเผชิญหน้ากัน โดยครอบครัวหนึ่งนั้นจนแสนสาหัส ขนาดบ้านที่อยู่ยังเป็นห้องเล็กสกปรกแออัดที่อยู่ต่ำกว่าพื้นถนน ช่องหน้าต่างของบ้านเมื่อมองออกไปจะเห็นเท้าของผู้คนมากกว่าวิวทิวทัศน์สวยๆ และมักมีขี้เมามายืนฉี่อยู่แถวนั้น นึกภาพเอาแล้วกัน

ส่วนอีกครอบครัวหนึ่งนั้นรวยสะบัด มี 4 คน คือพ่อ แม่ และลูก 2 คนเหมือนครอบครัวแรก แต่บ้านนั้นโอ่อ่าหรูเริ่ด บนเนื้อที่กว้างขวาง พร้อมสนามหญ้าเขียวขจีผืนใหญ่ ที่มองออกไปเห็นวิวของทิวเขาสวยงาม มันช่างแตกต่างกันราวกับฟ้าและเหว

2 ครอบครัวนี้มามีความสัมพันธ์กันได้ เกิดจากลูกชายวัยนักศึกษาของบ้านจน มาเป็นครูสอนพิเศษให้กับลูกสาววัยรุ่นบ้านรวยโดยบังเอิญ ต่อมาไม่นานความสัมพันธ์ก็ไปไกลกว่าครูและศิษย์เสียแล้ว เงินค่าสอนพิเศษจริงๆ ก็น่าจะพอทำให้ครอบครัวจนๆ ได้มีอะไรยาไส้ได้มากกว่าเดิม แต่ด้วยความโลภทำให้เขาไปดึงเอาน้องสาวเข้ามาในบ้านรวยเพิ่มอีกคน ในฐานะครูสอนพิเศษให้กับลูกชายบ้านรวย

และเรื่องราวก็บานปลายไปมากโข เมื่อเขยิบไปถึงพ่อและแม่ ตามมาเป็นคนขับรถและแม่บ้านด้วยวิธีที่ผิดมนุษยธรรมและ 18 มงกุฎอย่างมาก นั่นทำให้เราลุ้นและอยากรู้ว่าเรื่องราวจะไปไกลอีกแค่ไหน

และคนดูก็พบว่าเรื่องนั้น “ดาร์ก” และ “น่าสะพรึง” มากขึ้นทุกที จนเมื่อหนังจบลง มันทำให้คนดูอึ้ง และนั่งครุ่นคิดกับสิ่งที่เห็นผ่านจอไปเมื่อสักครู่

นี่เองที่ผมจั่วหัวเรื่องไว้ว่า “ดูแล้วอึ้ง”

 

ตามประวัติของผู้กำกับฯ บอง จุน โฮ ในหนังของเขามักจะเล่าเรื่องของครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์อยู่แล้ว ไม่บกพร่องทางใดก็ทางหนึ่ง ในหนังเรื่องนี้ก็เช่นกัน เราจะได้เห็นความบกพร่องมากมายของสมาชิกทั้งบ้านรวยและจน เป็นความบกพร่องทางจิตใจที่มาจากการหล่อหลอมของชีวิตทั้งชีวิตของพวกเขา เป็นความบกพร่องคนละแบบอันเกิดจากความต่างของฐานะ และวิธีการมอง “คน” ด้วยกัน

แน่นอน มันมีเรื่องของชนชั้นเข้ามาเต็มๆ ซึ่งมันปะปนอยู่ในหนังทุกเรื่องของเขา

นอกจากเรื่องเชิงสังคมแล้ว หนังยังเหน็บแนมไปถึงระดับประเทศ ที่ให้ตัวละครตัวหนึ่งพูดจาเลียนแบบผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ชนิดที่ถ้าชาวโสมแดงได้ชมคงควันออกหู ขำไม่ออก แต่คนดูทั่วไปหัวเราะด้วยอารมณ์ขมขื่น

ตลกร้ายมีแทรกอยู่ตลอดเวลาของหนังเรื่องนี้ ซึ่งบอง จุน โฮเองเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ตอนที่คนดูหัวเราะ ผมอยากเชือดคอพวกเขาด้วยมีดลับๆ ที่ซ่อนไว้ พวกเขาไม่มีทางตั้งตัวได้เลย”

ส่วนงานด้านโปรดักชั่นนั้นสุดยอด ทั้งงานภาพที่ดึงเอาความซกมกของสภาพความยากจนออกมาให้คอนทราสต์กับภาพสวยงามของความร่ำรวยได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งงานด้านดนตรีที่กระตุ้นความรู้สึกกับเรื่องราวได้ดียิ่ง

และเมื่อผสานกับการตัดต่อที่ชวนให้ติดตามตลอด เลยทำให้เป็นหนังที่ตรึงคนดูไว้ได้ตลอดเรื่อง

สมกับที่ได้รับรางวัลระดับสากล

 

ฉากที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษคือฉากที่ฝนตกใหญ่และครอบครัวยากจนที่มีเหตุให้ต้องหลีกลี้ออกมาจากบ้านรวยท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำ อารมณ์ของตัวละครที่ตกต่ำตอนนั้นก็ยิ่งถูกฉุดให้ดิ่งลึกไปจนสุดขั้วเมื่อพบว่าชุมชนรอบบ้านของตัวเองกำลังจมอยู่กับน้ำ บ้านที่อยู่ต่ำกว่าถนนของพวกเขา จึงไม่รอดจากความเสียหายอย่างหนัก มันยิ่งส่งความรู้สึกมาสู่ผู้ชมถึงความไม่เท่าเทียมกันของสังคมได้อย่างชะงัด

สุดท้ายหนังเรื่องนี้ได้ปอกเปลือกของความเป็น “มนุษย์” ออกมาได้ถึงแก่น มนุษย์ที่มุ่งเอาตัวเองให้รอด คิดแต่มุมของตนเองเป็นหลัก ขาดความเมตตา จนหลง “โง่” และหลง “ผิด” กันจนต้องเผชิญกับชะตากรรมชนิดที่นึกไปไม่ถึงทีเดียว

และเรื่องความแตกต่างของชนชั้น ความไม่เท่าเทียมกันของมนุษย์ ยังคงเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่แต่เฉพาะในสังคมเกาหลีใต้อย่างในหนัง แต่มันได้เกิดขึ้นจริงในหลายประเทศ

แน่นอนรวมทั้งในประเทศไทยด้วย จนอดคิดไม่ได้ว่ามันคงไม่มีวันลดลง รังแต่จะทวีความห่างชั้นกันมากขึ้นทุกที

ใครอยากไปชม รีบไปนะครับ น่าจะยังมีอยู่ตามโรงต่างๆ พอควร เพราะกระแสบอกต่อคงช่วยกวักให้คนทยอยกันไปชมพอแรง

ดูเรื่องราวรันทดในหนังจบแล้ว ค่อยออกมาเผชิญกับความจริงของชีวิตในสังคมไทยต่อไป ที่ไม่รู้ว่าอันไหนจะ “อึ้ง” ได้มากกว่ากัน