ร้องศาลรื้อคดี “ครูจอมทรัพย์” กับข้อสังเกตยุติธรรมไทย ใครคือจำเลยตัวจริง?!!

กลายเป็นประเด็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ กรณี นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อดีตครูโรงเรียนบ้านม่วงไข่ประชาราษฎร์สงเคราะห์ ต.ด่านม่วงคำ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร ถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุก 3 ปี 2 เดือน ด้วยคดีขับรถชนคนตาย เหตุเกิดใน ต.ท่าลาด อ.เรณูนคร จ.นครพนม เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2548

ครูจอมทรัพย์ถูกจองจำ 1 ปี 6 เดือน ก่อนได้รับพระราชทานอภัยโทษออกมา

จากนั้นเธอจึงเดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรม ด้วยการยืนยันหนักแน่นว่าไม่เคยก่อเหตุขับรถชนคนตาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเธอต้องกลายเป็น “แพะ” รับบาปที่ไม่ได้ก่อ!!

โดยพบว่า ระหว่างที่ถูกจองจำอยู่นั้น สามีครูจอมทรัพย์ ติดต่อขอความช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรม สำนักงานยุติธรรมจังหวัดนครพนม เพื่อขอเงินค่าจ้างทนายในการรื้อฟื้นคดี

กระทั่งวันที่ 19 มีนาคม 2557 กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ อนุมัติเงินกองทุนยุติธรรมเป็นค่าธรรมเนียมศาล จำนวน 20,000 บาท ค่าจ้างทนาย จำนวน 50,000 บาท

และอีก 2 เดือนถัดมา นายสับ วาปี แสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่ว่าเป็นผู้กระทำความผิดตัวจริง เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.นาโดน จ.นครพนม พร้อมรับผิดชอบค่าเสียหาย 170,000 บาท แก่ผู้เสียหาย

จากนั้นวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2558 ทนายความกองทุนยุติธรรม ยื่นคำร้องขอรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่

กระทั่งวันที่ 30 พฤศจิกายน 2559 ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งให้รื้อคดีขึ้นพิจารณาใหม่ โดยนัดพร้อมโจทก์ จำเลย ที่ศาลจังหวัดนครพนม ในวันที่ 16 มกราคม 2560 เวลา 13.00 น.

และศาลนัดสืบพยานอีกครั้งในวันที่ 8-10 กุมภาพันธ์นี้

คดีครูจอมทรัพย์ถูกวิพากษ์วิจารณ์และตั้งคำถามเป็นวงกว้าง ว่าเธอตกเป็นแพะจริงหรือไม่

นายสับ ใช่โชเฟอร์ตีนผีตัวจริงหรือไม่

พนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวนประมาทเลินเล่อหรือไม่

หรือแม้กระทั่งกระบวนการยุติธรรมเอื้ออำนวยความยุติธรรมให้กับผู้บริสุทธิ์ได้จริงหรือไม่

โดยเป้าใหญ่ถูกโฟกัสที่ต้นธารกระบวนการยุติธรรม พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานได้ครบถ้วนสมบูรณ์

และใช้ดุลพินิจตามที่ควรจะเป็นใช่หรือไม่?!!

พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ

การรื้อฟื้นคดี “ครูจอมทรัพย์” ทางกระทรวงยุติธรรม มี พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นโต้โผในการช่วยเหลือ แสดงความมั่นใจในพยานหลักฐานใหม่ 3 ปาก และวัตถุพยานใหม่ ที่ทำให้เชื่อว่า เธอตกเป็น “แพะ”

“ในวันนัดสืบพยานคดีนางจอมทรัพย์ ในส่วนของกระทรวงยุติธรรมที่ดูแลเรื่องนี้ จะนำพยานหลักฐานใหม่ 3 ปาก ที่ได้จากการลงพื้นที่ตรวจสอบ สอดคล้องกับนางจอมทรัพย์เข้านำสืบพยาน พร้อมทั้งนำวัตถุพยานใหม่ที่ไม่เคยนำเสนอต่อศาลก่อนหน้านี้ไปด้วย ที่ผ่านมาในกระบวนการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวนั้น เราได้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานใหม่เหล่านี้แล้ว จึงมีความเชื่อมั่นว่าพยานหลักฐานใหม่ทั้งหมดจะทำให้ศาลสามารถกลับคำพิพากษาได้” รองปลัดยุติธรรมระบุ

ขณะที่ฟาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นำโดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.อ.ปัญญา มาเม่น จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนของพนักงานสอบสวนซึ่งเป็นต้นธารของกระบวนการยุติธรรม

โดย พล.ต.อ.ปัญญา ยืนยันย้อนแย้งกับกระทรวงยุติธรรมสิ้นเชิงว่า การทำคดีนี้เมื่อปี 2548 พนักงานสอบสวน นิติวิทยาศาสตร์ รวมถึงผู้บังคับบัญชาระดับต่างๆ ทำอย่างครบถ้วนถูกต้องตามระเบียบ เป็นเรื่องน่าชมเชยที่ดำเนินการต่างๆ จนมีการลงโทษในคดีนั้น

“หลังจากตรวจสอบพบว่าเมื่อมีความพยายามรื้อฟื้นคดี อ้างว่านางจอมทรัพย์เป็นแพะ มี นายสับ วาปี รับว่าเป็นคนขับรถชนมารับผิดแทน พบความผิดปกติหลายอย่าง จึงให้ บช.ภ.4 ร้องทุกข์กล่าวโทษ รับเลขคดี” จตช. เผย

พล.ต.อ.ปัญญา มาเม่น

นอกจากนี้ จตช. ยังเปิดโปงขบวนการรับจ้างรับผิดอย่างเผ็ดร้อนว่า มีการสมอ้างรับผิดแทนและมีขบวนการที่ได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้ แต่ไม่อยากฟันธงถึงความเกี่ยวข้องของนางจอมทรัพย์กับขบวนการ จะสอบปากคำอดีต ส.ว.มุกดาหาร คนหนึ่งในฐานะพยาน รับรู้เรื่องนี้

เนื่องจากเมื่อปี 2557 หลังศาลฎีกาพิพากษาแล้ว มีบุคคลเข้ามาติดต่อกับ ส.ว.ท่านนี้ ขอให้รับเป็นทนายคดีนี้ แต่ ส.ว. ไม่รับงานนี้ มีการเสนอว่าจ้างประมาณ 2-3 แสนบาท

ทั้งนี้ พบว่าขบวนการนี้เริ่มเข้ามาจับคดีนี้ตั้งแต่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง คล้ายเห็นช่องทางก็เข้ามา

เท่าที่พบตอนนี้มีคนเข้ามาเกี่ยวข้องและอาจต้องแจ้งข้อกล่าวหา ประมาณ 6 คน ในนี้ยังไม่รวมนางจอมทรัพย์ จากการสืบสวนพบว่าขบวนการนี้ทำแบบนี้มาหลายครั้งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บางคดีสำเร็จ บางคดีมีปัญหาทำไม่สำเร็จ มีการอ้างเป็นแพะ มีคนรับผิดแทน คอยดูว่ามีคดีไหนมีช่องทางจะเข้ามาได้ก็จะไปติดต่อรับงาน

อีกทั้ง จตช. ยังเปิดเผยว่า ช่วงปลายปี 2556 หลังศาลฎีกามีคำพิพากษาแล้ว ปรากฏว่ามีกลุ่มคนจำนวน 7 คน เดินทางไปพบตำรวจ สภ.เรณูนคร จ.นครพนม พร้อมนำบุคคลมากล่าวอ้างว่าคือตัวจริงที่ขับรถชนคู่กรณีเสียชีวิต เมื่อปี 2548 ไม่ใช่ นายสับ วาปี ที่ถูกอ้างในคดีที่รื้อขึ้นใหม่

แต่ครั้งนั้นตำรวจ สภ.เรณูนคร ไม่รับคดี เนื่องจากอยู่ในท้องที่ที่ไม่มีอำนาจสอบสอบสวน เป็นช่วงกำลังปรับแบ่งพื้นที่รับผิดชอบโรงพักใหม่ จึงได้ทำบันทึกไปที่ บก.ภ.จว.นครพนม

แต่ระหว่างนั้นกลุ่มคนทั้ง 7 คน ได้ไปพบกับ พ.ต.อ. นายหนึ่ง และแสดงตัวว่าเป็นคนขับรถชน ขณะนั้นมีการสอบปากคำชายคนแรกไว้แล้ว จึงถือเป็นอีกข้อพิรุธ

อย่างไรก็ดี ครูจอมทรัพย์ ยังคงยืนยันหนักแน่นในความบริสุทธิ์ และเดินหน้าล้างมลทินให้กับตัวเอง!!

ทั้งข้อมูลจากกระทรวงยุติธรรมและจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง

การรื้อคดีใหม่กรณีครูจอมทรัพย์ จึงเข้มข้น

และน่าจับตาวันสืบพยานที่ศาลจังหวัดนครพนม ในวันที่ 8-10 กุมภาพันธ์นี้ ว่าพยานและหลักฐานใหม่จะมีอะไรบ้าง จะนำสืบหักล้างข้อกล่าวหาเดิม จนสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของครูจอมทรัพย์ได้หรือไม่ ว่า จะเป็น “แพะ” หรือ “แกะ”

โดยมีศาลฎีกาพิจารณาตัดสินถือเป็นที่สุด!!