ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 - 22 สิงหาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
ปรากฏการณ์อนาคตใหม่ที่ทำพรรคโดยไม่ใช้หัวคะแนนหรืออดีต ส.ส. แต่กลับได้ผู้แทนฯ เข้าสภาเกือบ 80 เป็นปริศนาที่ไม่มีใครตอบได้ว่าเพราะอะไร
คนบางกลุ่มบอกว่าอนาคตใหม่ได้ ส.ส.เขตเยอะเพราะพรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ ส่วนเพื่อไทยก็ไม่ได้ส่งผู้สมัครจน “ฝ่ายประชาธิปไตย” ไม่มีตัวเลือกเท่านั้น
สำหรับคนที่คิดแบบนี้ อนาคตใหม่ได้ ส.ส.เพราะฟลุกตั้งพรรคในสถานการณ์ที่ทำให้พรรคโชคดีไปหมด
แต่ที่จริงพรรคอื่นอย่างเพื่อชาติและเสรีรวมไทยก็มุ่งหาเสียงจาก “ฝ่ายประชาธิปไตย”
คำอธิบายว่าอนาคตใหม่ได้ ส.ส.เพราะส้มหล่นจึงอธิบายไม่ได้ว่าทำไมคะแนนไหลมาพรรคนี้มากกว่าพรรคอื่นในฝ่ายเดียวกัน
ถ้าบอกว่าอนาคตใหม่ชนะเพราะมีคุณสมบัติเหนือพรรคฝ่ายประชาธิปไตยอื่นๆ ผลก็คือการยอมรับว่า “พรรคฝ่ายประชาธิปไตย” เป็น “วาทกรรม” เพื่อห่อหุ้มพรรคซึ่งที่จริงก็แข่งขันกันเองเหมือนพรรคอื่นทั้งสิ้น
ยิ่งกว่านั้นคือการจำนนว่าอนาคตใหม่มีศักยภาพกว่าพรรคเก่าอื่นๆ ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนอยากฟัง
นอกจาก “ฝ่ายประชาธิปไตย” จะพบว่าชัยชนะของอนาคตใหม่เป็นเรื่องซึ่งยากจะเข้าใจ
ฝ่าย “ต้านประชาธิปไตย” ก็พบว่าชัยชนะของอนาคตใหม่เป็นฝันร้ายที่กลายเป็นจริง
เพราะคนกลุ่มนี้โจมตีอนาคตใหม่ด้วยข้อหาหนักเท่าที่จะทำได้
แต่คะแนนเสียงเกือบเจ็ดล้านคือใบเสร็จว่าการโจมตีไม่มีผลอะไรเลย
หากนับจากวันแรกที่อนาคตใหม่ลงแข่งขันในสนามเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ข้อกล่าวหาที่อนาคตใหม่โดนยัดเยียดล้วนเป็นเรื่องที่ฆ่ากันตายในประเทศนี้ได้ทั้งสิ้น
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โดนโจมตีเรื่องไม่มีศาสนาและทำลายความเป็นไทย ปิยบุตร แสงกนกกุล โดนเรื่องสถาบันหลัก และผู้สนับสนุนพรรคโดนเล่นงานว่าเป็นฝ่ายทักษิณจำแลง
คนกลุ่มแรกๆ ที่โจมตีอนาคตใหม่คือ “โซเชียล” ซึ่งปลุกปั่นข่าวเท็จหรือ “เฟกนิวส์” บางเรื่องอย่างเป็นระบบจนน่าสงสัยว่าเป็นเจ้าหน้าที่ “ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร” ในหน่วยงานรัฐบางราย
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้นำรัฐบาลและข้าราชการระดับสูงกลับเผยแพร่ “เฟกนิวส์” แบบนี้ถึงขั้นแถลงอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำไป
ไม่เพียงแต่นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรัฐประหารจะใช้ทำเนียบแถลงข่าวเหน็บแนมอนาคตใหม่แบบไม่กล้าพูดชื่อพรรคตรงๆ ผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบันก็เคยให้สัมภาษณ์โจมตีพรรคโดยอ้างอิงเพลง “หนักแผ่นดิน” ซึ่งเท่ากับผู้มีอำนาจรับรองว่ามุมมองแบบ “เฟกนิวส์” เป็นนโยบายรัฐบาลไปโดยปริยาย
ล่าสุด ในคำให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าวต่างประเทศเมื่อต้นเดือนสิงหาคม ผู้บัญชาการทหารบกก็ประกาศอีกว่ากองทัพทุกวันนี้ต่อสู้กับภัยคุกคามประเทศเหมือน “คอมมิวนิสต์”
และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดตอนนี้คือ “พรรคใหม่” ซึ่งปลุกปั่นเยาวชนด้วย “เฟกนิวส์” ซึ่งจะล้มล้างกองทัพและสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย
แน่นอนว่า พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ฉลาดพอจะไม่สัมภาษณ์โดยระบุชื่อพรรคอนาคตใหม่ตรงๆ
แต่ผู้ฟังที่มีสติปัญญาคงฟังออกว่า ผบ.ทบ.เทียบเคียงอนาคตใหม่และคนเลือกพรรคนี้กับ “คอมมิวนิสต์” ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ผู้มีอำนาจใช้ปราบปรามประชาชนนับสิบปีแล้ว
คำพูดของ ผบ.ทบ.จึงเป็นสัญญาณการเมืองที่อันตราย
จริงอยู่ว่า พล.อ.อภิรัชต์โจมตีอนาคตใหม่โดยไม่ได้แสดงหลักฐานอะไร แต่ตัวคำให้สัมภาษณ์กลับแสดงความไม่ต้องการอยู่ร่วมกับอีกฝ่ายจนน่าตระหนก เพราะนอกจากอนาคตใหม่จะถูกป้ายสีให้เป็นอันตรายเทียบเท่า “คอมมิวนิสต์” ผู้เลือกอนาคตใหม่ยังถูกทำให้กลายเป็น “เหยื่อ” ที่อนาคตใหม่หลอกตลอดเวลา
ในโลกทัศน์แบบที่ผู้บัญชาการทหารบกคิดและใช้ความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหว่านล้อมให้คนคิดตาม ประชาชนกว่า 6.3 ล้านคนเลือกอนาคตใหม่คือพลเมืองที่เขลาทั้งสิ้น เสียงสนับสนุนให้ธนาธรเป็นนายกฯ จึงมาจากการปลุกปั่นจนไม่ต้องฟังเลยก็ได้
เช่นเดียวกับเสียงที่ไม่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี
ในอดีตนั้น ทหารฝ่ายต้านประชาธิปไตยมักโจมตีพรรคการเมืองว่าไม่มีความชอบธรรม เพราะซื้อเสียง, ใช้หัวคะแนน หรือผู้มีอิทธิพล แต่ถึงแม้อนาคตใหม่จะได้คะแนนจากประชาชนกว่าหกล้านโดยไม่ได้ทำแบบนี้ ผบ.ทบ.ก็ยังอุตส่าห์ประดิษฐ์วาทกรรมที่หวังว่าจะทำให้อนาคตใหม่ด้อยค่าลงไปจากปัจจุบัน
ด้วยเหตุที่ พล.อ.อภิรัชต์ไม่ได้โจมตีอนาคตใหม่โดยแสดงหลักฐานที่เชื่อถือได้แต่อย่างใด คำโจมตีจึงเป็นหลักฐานของความอับจนทางปัญญาที่คนแบบนี้มีต่อชัยชนะของอนาคตใหม่
ยิ่งไปกว่านั้นคือ ความไม่สามารถที่จะเข้าใจว่าทำไมคนจำนวนมากเลือกอนาคตใหม่โดยไม่สนใจคำโจมตีต่างๆ ของคนเหล่านี้เลย
เมื่อคำนึงถึงข้อกล่าวหาที่ผู้มีอำนาจสาดใส่อนาคตใหม่ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา จำนวน ส.ส.คือหลักฐานว่าคำสาดโคลนหยุดความต้องการอนาคตใหม่ของคนเกือบเจ็ดล้านไม่ได้
ผู้มีอำนาจที่ฉลาดย่อมตระหนักว่าข้อกล่าวหานี้ไร้น้ำหนักจนไร้คนฟัง
แต่ผู้มีอำนาจซึ่งเขลาอาจผรุสวาทว่าคนที่ไม่ฟังนั้นโง่เหมือนควาย
อนาคตใหม่สมควรได้เครดิตที่ทำพรรคใหม่โดยไม่ใช้หัวคะแนนหรือซื้อเสียงเลย
ปัจจัยสู่ความสำเร็จของพรรคมาจากการชูอุดมการณ์ประชาธิปไตยโดยมีธนาธรเป็น “ผู้นำบารมี” ซึ่งคนจำนวนมากเชื่อว่าพูดแล้วทำอย่างเคร่งครัด นอกจากนั้น คือการชูนโยบายตอบสนองประชากรกลุ่มปัญหาต่างๆ ที่ไม่มีพรรคไหนทำ
อนาคตใหม่เริ่มต้นพรรคโดยถูกจัดประเภทว่าอยู่ในกลุ่ม “พรรคทางเลือก” เหมือน “พรรคเกียน” หรือ “พรรคสามัญชน” แต่ในวันที่การนับคะแนนเลือกตั้งยุติลง อนาคตใหม่คือพรรคที่มี ส.ส.มากเป็นอันดับสามและมีคนเลือกกว่าหกล้าน จนชัยชนะของอนาคตใหม่เป็นฝันร้ายของฝ่ายต้านอนาคตใหม่ทุกคน
สำหรับคนที่มองการเลือกตั้งนี้ด้วยสติปัญญายิ่งกว่าอคติแบบผู้บัญชาการทหารบก ชัยชนะของอนาคตใหม่คือประจักษ์ว่าคนจำนวนมากต้องการประชาธิปไตยถึงจุดที่ไม่สนใจข้อกล่าวหาต่างๆ ที่ผู้มีอำนาจยัดเยียดให้พรรค และยิ่งกว่านั้นคือความไม่เชื่อว่าคำพูดของผู้มีอำนาจสะท้อนผลประโยชน์ของประเทศอีกต่อไป
ความสำเร็จของอนาคตใหม่ทำให้ฝ่ายต้านประชาธิปไตยตกใจ
แต่ที่จริงประชาธิปไตยไม่มีอะไรขัดแย้งกับชาติหรือสถาบันหลัก คนเลือกอนาคตใหม่ไม่ได้ต่อต้านอะไรแบบนี้
คสช.และผู้มีอำนาจบางกลุ่มต่างหากที่สร้างวาทกรรมลวงโลกว่าอนาคตใหม่เป็นศัตรูของชาติจนใครเลือกอนาคตใหม่กลายเป็นภัยต่อบ้านเมือง
ในยุคที่ความเลอะเทอะทางปัญญาก่อรูปเป็นกะลาของผู้มีอำนาจ อนาคตใหม่และคนรุ่นใหม่เป็นอันตรายจนเทียบได้กับคอมมิวนิสต์เพราะไม่คิดและทำตามที่ผู้มีอำนาจประสงค์ ความไม่สามารถรับรู้โลกตามความจริงเป็นต้นตอให้ผู้มีอำนาจฟุ้งซ่านตามวาทกรรมที่คิดเองเออเองทั้งสิ้น
ต่อให้ทั้งหมดจะไม่มีมูลเลยก็ตาม
ข้อเท็จจริงที่เป็นปัญหาของประเทศไทยคือคนส่วนน้อยกับคนส่วนใหญ่มีความคาดหวังต่อประเทศต่างกัน
ชนชั้นนำต้องการผูกขาดประเทศเพื่อดำเนินนโยบายที่เอื้อประโยชน์ตัวเองสูงสุด
แต่คนส่วนใหญ่ต้องการประเทศที่ประชาชนเป็นเจ้าของยิ่งขึ้น
และทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับมุมมองต่อชาติและสถาบันสำคัญ
ผู้บัญชาการทหารบกสมควรถูกตำหนิที่ให้สัมภาษณ์เรื่องซึ่งสร้างความขัดแย้งกับคนในชาติอย่างที่ทำไป
แต่สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคำเขลาคือความเชื่อในวาทกรรมลวงโลกซึ่งถักทอเป็นอวิชชาห่อหุ้มกะโหลกของผู้มีอำนาจทั้งหมด เพราะผู้มีอำนาจที่เขลาอาจทำอะไรที่เขลาต่อประเทศได้มาก และนั่นคือหายนะของสังคม
ด้วยคำสัมภาษณ์ของผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน สังคมไทยหลังการเลือกตั้ง 2562 ถูกทำลายโอกาสแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยอย่างสงบไปเกือบหมดแล้ว ผลการเลือกตั้งไม่ทำให้ผู้มีอำนาจตระหนักถึงความจำเป็นต้องแบ่งปันอำนาจ แต่กลับเร่งเร้าให้ผู้มีอำนาจกระชับอำนาจโดยวิถีทางที่น่ากังวล
ไม่มีใครล่วงรู้ว่าประเทศไทยจะมีรัฐประหารครั้งต่อไปหรือไม่
แต่โดยความเชื่อที่หล่อหล่อมในมันสมองและวิธีคิดของคนหยิบมือเดียวบางกลุ่ม
ความรุนแรงและความโหดเหี้ยมที่เกิดหลังรัฐประหาร 2557 อาจยังไม่มากพอที่จะตอบสนองความฟุ้งซ่านและความวิปริตที่หล่อหลอมคนเหล่านี้จนปัจจุบัน