การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ รีบพาฉันลงนรกไปเสียอีกทีเถอะ

ฤดูกาลผ่านหน้า เปลี่ยนโฉมหน้าของสิ่งต่างๆ ให้เคลื่อนไหลไป ท่ามกลางสิ่งที่ดูไม่แตกต่างเปลี่ยนแปลง…ชีวิตยังเป็นอย่างที่มันเป็น หรืออาจเพราะมีแต่ฉันที่มองเห็น ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อันเหมือนรอยปริกะเทาะบนผิวท่อนไม้

แค่เพราะไม่มีใครสนใจจะสังเกตมัน

ชีวิตในหมู่บ้านก็ดำเนินไปเช่นนั้น มีคนเกิด มีคนเจ็บ มีคนตาย อ้ายหมารอยยังหายสาบสูญจากการรับรู้ เด็กผมขอดโยกย้ายไปอยู่ที่อื่นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งฉันปราศจากความสนใจว่าเป็นที่ใด ยายร่อยกลับมาอยู่ร่วมบ้านกับลูกชายคนหล้า ซึ่งว่ากันว่าเป็นผีบ้าจากการกินยาขยัน ทุกๆ วัน ชีวิตยายร่อยจึงวุ่นวายกับการเอาใจใส่ลูกชายสุดที่รัก…ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วว่า ยายร่อยรักยิ่งกว่าลูกคนอื่นๆ และหลานคนใด

เด็กกระออมจบชั้นปอหกนานแล้ว พ่อแม่ส่งเข้าวัดให้ไปเรียนทางธรรมต่อทันที มีสถานะเป็น “พระหน้อย” หรือเณร นุ่งห่มผ้าเหลืองเป็นผู้มีบุญ แต่อ้ายกล้วยเข้าบวชเรียนไม่ได้ ความว่าหัวทื่อโง่เง่าเกินไปจึงออกไปรับจ้างเลี้ยงควายอยู่ตามทุ่งตามนา

ส่วนตัวฉัน…นานหลายขวบปีที่ใช้ชีวิตระเหเร่ร่อน พเนจรเพื่อแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า ทว่า เพื่อพบว่าสุดท้ายก็ยังหวนกลับมาจมปลักอยู่ในเวิ้งหุบเขาที่เก่า…เฝ้าเขียนจดหมายไร้ประโยชน์ จดจารตัวหนังสือไร้ค่า เขียนบทกวีน่าชัง นั่งอ่านจุลสารเก่าๆ ที่เคยตัดแปะกระดาษทำมัน อ่านร่องรอยเลือนรางของความฝัน

บุรุษไปรษณีย์เริ่มหายหน้า…บางหลายสัปดาห์ไม่มา ด้วยจดหมายที่มีคนส่งมาถึงยังคงกองอยู่บนโต๊ะเปื้อนฝุ่น แม้หย่อนตัวลงนั่งทุกวัน แต่ฉันก็เพียงเขียนตอบกลับเพื่อจะขีดฆ่า ฉีกทิ้งไป

 

เพียงบัวเงียบหายไป ไม่มีจดหมายมาจากเด็กสาวอีก และฉันก็สะกดใจไม่เขียนถึง ปล่อยให้เธอระลึกรู้เพียงว่า ความฝันของเธอสวยงามและมีค่าเพียงใด หากเพราะฉันเท่านั้น เพราะฉัน…คนที่ปราศจากความจริงใจ ไม่ยึดถือคำสัญญา หากเธอจะหลงลืมฉันไปก็ไม่น่าประหลาดใจอะไรเลย

ลุงเอาที่ดินไปจำนองเสียแล้ว แต่แม้ใครๆ จะบอกว่า อยากทำอะไรในที่ดินเดิมก็ยังทำได้ หากแม่ไม่ยอม

“จะทำไปได้ยังไง” แม่ว่า “เกิดเอาสตางค์ไปลงแล้วเขามายึดที่ไปเล่า เราไม่เสียแล้วเสียอีกรึ!”

“เขาไม่ทำหรอกน่า” พ่อโต้แย้ง “บ้านน้าร่อยน้ารุ่งก็อยู่ในนั้น ใครจะใจจืดใจดำกัน เห็นๆ กันอยู่”

“พี่อย่ามองโลกในแง่ดีนัก!” แม่เถียงกลับ “ฉันรู้เช่นเห็นชาติมามากแล้ว”

“แม่แค่เห็นตัวอย่างมาไม่กี่คน”

“ไม่กี่คน!” แม่กระแทกเสียงใส่ “รวมหมู่ญาติของพี่ไหมเล่า!”

พ่อเงียบไป

“ไม่ใช่เพราะโดนพี่แท้ๆ โกงเอาที่บ้านที่ดินรึ พี่เองถึงไม่มีสมบัติติดตัวสักอย่าง ถ้าไม่มีบ้านเมียแต่ละคนพี่จะอยู่ที่ไหน? บ้านหลังนี้ก็เหมือนกัน ถ้าฉันไม่เสาะหาเงินมาซื้อที่…ป่านนี้ลูกคงได้นอนข้างเล้าไก่!”

“แม่ก็ว่าเกินไป” พ่อเสียงเบาลง

“เกินไม่เกินพี่ตรองดูก็แล้วกัน” แม่ตัดบท และหันมาบอกฉัน “พี่ก็อย่าเพิ่งไปทำอะไรในนั้นเลย รอให้เขาไถ่มาเรียบร้อยเสียก่อน เอาสตางค์ไปลงตอนนี้ จะกี่สิบกี่ร้อยก็เป็นสตางค์ ตั้งเสาปลูกเรือนไป ถ้าเขาจะให้ย้ายก็ต้องย้าย ตราบใดใบโฉนดไม่ใช่ของเรา”

 

ฉันรู้ดีว่า ถ้าจะบอกให้เพียงบัวมาตามกำหนดเดิม เธอก็ยังมาได้ พ่อแม่เต็มใจต้อนรับ พร้อมให้ร่วมพักอาศัย เราอาจจะยังเช่าที่ทำสวนถั่วกันได้อยู่ แต่มันจะมีประโยชน์อะไร หากสุดท้ายฉันก็ยังต้องอยู่ในบ้านพ่อแม่ และการจะลุกมานั่งชมพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า อ่านหนังสือกันเงียบๆ ในยามค่ำคืน ตื่นมาพบหน้ากันเพียงลำพัง…ไม่อาจจะเป็นไปได้

บ้านของพ่อแม่นั้น ปราศจากประตูรั้ว มันเปิดกว้างเสมอเพื่อคนเข้าออกได้ทุกเวลา นับวันไป พ่อก็มีคนมาขอให้ไปทำสิ่งนั้นสิ่งนี้มากมายในงานด้านต่างๆ ไหนจะตำแหน่งกรรมการวัด กรรมการหมู่บ้าน มัคทายก และการเป็นผู้เชี่ยวชาญไสยศาสตร์กับพิธีกรรมทางศาสนา

อาจดีที่สุด ถ้าจะให้เวลาเป็นตัวตัดสิน…สักวัน ถ้าฉันมีความพร้อมมากกว่านั้น และกล้าหาญพอจะอธิบายทุกสิ่งได้

ทำไมฉันยังไม่อยากอธิบาย…บางที…บางทีฉันก็แค่คนอ่อนแอเกินไป ฉันไม่กล้าจะให้ใครทั้งสิ้นยืนยันว่า ฉันน่ะ แค่ฝันลมๆ แล้งๆ อยู่ร่ำไป ไม่เคยควบคุมอะไรได้ ชีวิตเพียงจอกแหน แค่ล่องลอยไปตามน้ำมือคนอื่น

 

มีจดหมายฉบับใหม่ส่งเข้ามา บ่ายวันหนึ่งซึ่งท้องฟ้ากลับมาอุ้มฝนฉ่ำอีกครั้ง

บุรุษไปรษณีย์คนเก่าจอดรถเครื่องหน้าบ้าน ร้องเอิ้นทักทายกับแม่ แล้วก็ส่งซองสีขาวๆ มา เมื่อรับจากมือแม่มาแล้ว ฉันเพิ่งเห็นว่า ลายมือที่จ่าหน้าซองวงเล็บบางชื่อที่เคยสะกดไป

ใจเต้น…มันเป็นจดหมายจากนิตยสารรายสัปดาห์เล่มใหม่ ที่ซึ่งห่างไกลจากแวดวงเดิมๆ และแน่ใจว่า เพียงบัวจะไม่เคยอ่านมัน

 

[สวัสดีครับ น้องจันทร์เสี้ยวเดียวดาย

พี่ได้อ่านเรื่องราวของน้องจากคอลัมน์ของอาโก๋ ประทับใจบทกลอนของน้องมาก มันช่างกินใจคนอย่างพี่ ซึ่งถ้ามีโอกาสก็อยากสมัครมาเป็นมิตรใหม่ของน้อง ถ้าเราได้รู้จักกัน พี่อาจจะทำให้น้องหายเหงาเศร้าได้

น้องบอกว่าเป็นคนเชียงใหม่ อยู่ตรงไหนหรือครับ สำหรับพี่บ้านอยู่ที่สันกำแพง แต่ตอนนี้มาทำงานอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งที่ตัวเวียง พี่ส่งที่อยู่มาให้พร้อมแผนที่ ถ้าวันใดน้องมีเวลาว่างจะมาหาพี่เลยก็ได้ พี่ส่งรูปมาให้ดูด้วยในฉบับนี้ เพื่อแสดงความจริงใจ

พี่เข้าใจน้องทุกอย่าง เรื่องที่น้องได้พบมาก็เหมือนที่พี่เคยพบ เราเป็นคนจริงใจ แต่สิ่งที่ได้คือความทรยศหลอกลวง แต่พี่ก็หวังว่าจะมีคนจริงใจเหลืออยู่ในโลกนี้…

พี่ชุน]

 

รูปใบหนึ่ง ร่วงลงมาจากในซอง เป็นรูปคนผมซอยสั้น ใบหน้าขาวๆ ยืนหน้าขบวนรถบุปผชาติคันหนึ่ง ตาเล็กตี่คล้ายลูกคนจีน สวมเสื้อเชิ้ตลายตารางเล็กๆ สีแดงอ่อน ฉันเพ่งแล้วเพ่งอีก ใช่ สีแดงอ่อน แต่ไม่ใช่สีชมพู

พลิกดูด้านหลังของกระดาษ ลายมือจากเส้นปากกาหมึกสีน้ำเงิน วาดแผนที่มาให้พร้อมชื่อโรงแรม และเบอร์โทรศัพท์…อยู่ภายในเชียงใหม่

เมฆอุ้มท้องหนาหนัก ไม่ช้า ฝนก็ลงเม็ดหยาดมาเปาะแปะ ฉันลุกเข้าห้อง หยิบเอากระดาษสมุดกับปากกากลับมานั่งบนโต๊ะข้างหน้าต่าง ลงมือตอบจดหมาย…

 

[สวัสดีครับ น้องจันทร์เสี้ยวเดียวดาย

พี่ดีใจจริงๆ ที่ได้รับจดหมายตอบจากน้องอย่างรวดเร็ว เพื่อนๆ ที่ทำงานพากันสงสัยใหญ่ ทำไมพี่ถึงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว! แต่พี่รีบเอาจดหมายซ่อนเสีย ไม่เช่นนั้นจะมีคนมาแอบอ่านแน่นอน!

พี่มีความสงสารเห็นใจน้องมากขึ้น เมื่อได้รู้เรื่องราวโดยละเอียด คนที่ทำให้น้องอกหักเป็นคนใจร้ายมาก แต่พี่เองก็เคยมีประสบการณ์ชีวิตมาไม่น้อย ถูกหลอกมาสารพัด ทั้งๆ ที่เราเป็นคนจริงใจทุ่มเทให้ตลอด เมื่อคบใครพี่เต็มร้อยเสมอ ถึงขั้นไปสาบานร่วมกันพี่ก็ทำมาแล้ว แต่ก็ยังถูกหลอกจนได้

พี่เคยคิดเหมือนกันว่า มันอาจจะเป็นกรรมที่เราเกิดมาเป็นอย่างนี้ พี่ก็ทรมานใจมามาก ไม่มีใครจะเข้าใจเราได้ดีเท่ากับตัวเราเอง ทุกวันนี้พี่เป็นคนสนุกสนานร่าเริงก็จริง อยู่ในที่ทำงานใครๆ ก็ชอบพี่ แต่พี่ก็ยังเฝ้ามองหาใครสักคนหนึ่งที่จะเข้าใจได้มากกว่านั้น

พี่มีความฝันว่า…จะมีคนเข้าใจตัวพี่จริงๆ อย่างที่พี่เป็น ถ้าได้พบคนคนนั้นวันใด พี่พร้อมจะอุทิศตัวอย่างเต็มที่ ตอนนี้พี่ก็หวังว่าจันทร์เสี้ยวเดียวดายจะไม่เดียวดายจนเกินไปเมื่อเราได้รู้จักกันแล้ว หากน้องเหงาเศร้าวันใด เขียนจดหมายหรือโทรมาหาพี่ได้เสมอ…]

 

[สวัสดีครับ น้องจันทร์เสี้ยวที่ไม่เดียวดายแล้วนะ!

พี่ดีใจมากที่ทำให้น้องหายเหงาไปได้บ้าง อ้อ! ก่อนอื่นพี่ต้องขอชมว่า น้องเขียนกลอนได้เก่งจริงๆ ทำให้พี่ประทับใจมาก ทั้งที่ไม่ใช่หนอนหนังสือสักเท่าไหร่

พี่ก็ชอบอ่านหนังสืออยู่บ้าง แต่ไม่ค่อยมีเวลาอ่าน แต่ถ้าเป็นการกินเหล้าแล้วพี่ทำได้แน่นอน แฮ่! ก็มันเป็นอาชีพของพี่นี่หน่า!

ตอบคำถามของน้องบ้าง พี่มาทำอาชีพนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็นานมาหลายปีแล้วเหมือนกัน เริ่มจากการเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารก่อน ไต่เต้ามาเรื่อยๆ จนได้เป็นกุ๊ก ไม่ต้องแปลกใจ พี่ถือคติว่าคนเราถ้าจะเอาดีจริงๆ ทำอะไรก็ต้องทำให้ได้ จนในที่สุด ผู้จัดการเห็นว่าพี่มีฝีมือทำได้หลายอย่างเลยให้พี่ช่วยงานในบาร์น้ำ พี่ทำงานมาแล้วหลายที่ ถามร้านดังๆ ในเชียงใหม่ได้ พี่อยู่มาหมดแหละ จนมาลงเอยที่นี่ เพราะเงินเดือนดีสุด ฮ่าๆ

พี่ไม่มีวุฒิการศึกษาเหมือนกัน อาศัยว่าใจรัก เป็นคนจริง ทำจริง พี่ได้มายืนหน้าบาร์ทุกวันนี้เพราะฝีมือล้วนๆ ข้อนี้พี่ภูมิใจจะบอกน้องให้มั่นใจ พี่ไม่มีวันตกงานแน่นอนตราบใดที่ไม่เป็นคนพิการ ตอนนี้พี่ก็เป็นคนชงค็อกเทลที่ใครๆ เขาว่าฝีมือดีคนหนึ่ง!

น้องไม่เคยกินเหล้าค็อกเทลสินะ เอาไว้ถ้ามาหาพี่จะทำเครื่องดื่มสุดพิเศษให้ชิม รับรองจะติดใจ แต่ถ้าจะมาขอให้บอกล่วงหน้าสักหน่อย เพราะพี่เข้างานช่วงกลางคืน โทรศัพท์เบอร์ที่ให้ไว้เป็นที่โรงแรม แต่จะไม่โทร.ก็ได้ ถ้าน้องมาหา ถามหาพี่ได้เลย

พี่ไม่เคยไปอำเภอบ้านน้องเหมือนกัน แต่ก็คงไม่ยากจนเกินไปถ้าจะไปหา แต่พี่ว่า เราพบกันในเวียงจะดีกว่า เพราะว่าเราจะได้คุยกันอย่างเป็นส่วนตัวไงล่ะครับ!]

 

[สวัสดีครับ น้องจันทร์เสี้ยวของพี่

พี่ดีใจมากที่ได้รู้จักน้องมากขึ้นเรื่อยๆ และติดการรอคอยจดหมายจากน้องเสียแล้ว! พี่ชุนคนนี้เป็นคนจริงใจ ใครจริงจังกับพี่ พี่ก็จริงจังด้วยอย่างแน่นอน ขอให้น้องอย่าระแวงไปเลย ถ้าได้มาในเวียงพี่จะพาไปไหว้ครูบาศรีวิชัย พี่จะสาบานให้น้องฟังว่าพี่เป็นคนจริงแค่ไหน

แต่จนถึงตอนนี้ พี่ยังไม่เคยเห็นรูปของน้องเลย การ์ตูนที่น้องวาดมาก็น่ารักดี แต่ก็ไม่เหมือนภาพถ่าย ที่น้องบรรยายมาว่าน้องเป็นคนตัวดำ ปากหนา ตาโปน พี่คิดว่าไม่ใช่ปัญหา เมื่อเรารู้จักรู้ใจกันแล้ว ถึงจะรูปชั่วตัวดำยังไงพี่ก็ไม่แคร์ ความจริงใจไม่ใช่ใบหน้า เท่าที่อ่านบทกลอนของน้องแต่ละฉบับ กับความรู้สึกที่น้องเขียนมาเล่าให้พี่ฟัง พี่สงสารเห็นใจน้องอย่างสุดซึ้ง ถึงน้องจะขี้เหร่อัปลักษณ์มากก็ไม่ต้องห่วง เคยได้ยินคำคมไหมว่า นารีงามพร้อมสรรพเมื่อดับไฟ!

พี่ล้อเล่นหรอกนะในบรรทัดข้างบน ไม่ได้หมายถึงจะต้องปิดไฟกอดน้องหรอกน่า พี่บอกแล้ว คนเรารักกันที่จิตใจไม่ใช่ใบหน้า พี่พบคนสวยมาแยะแล้ว แต่จะมีประโยชน์อะไร ถ้าสวยแต่รูปกายจิตใจกลับปลิ้นปล้อนหลอกลวง

น้องจันทร์เสี้ยวของพี่ อย่าลืมโทรศัพท์มาหาพี่สักครั้ง พี่อยากจะฟังเสียงของน้องบ้างแล้วล่ะ ถ้าน้องกลัวว่าจะไม่มีเงินโทรศัพท์ ไม่ต้องห่วง พี่สอดเงินมาให้น้อง 40 บาท สำหรับการเอาไปแลกเหรียญหยอดโทร.มา ถ้าน้องโทร.หาพี่วันใดพี่คงจะมีความสุขมาก…]

 

เมฆอุ้มท้องหนาหนักอยู่บนฟากฟ้า แล้วไม่ช้าฝนก็เทหลั่งลงมา…ซ้ำซากอยู่เสมอในแต่ละวัน

ฤดูฝนที่ท้องทุ่งเป็นสีเขียวไพล หมู่บ้านในเวิ้งหุบเขาดำเนินไปอย่างที่เป็นอยู่และเป็นมา จดหมายจากเพียงบัวเงียบหาย ขณะที่จดหมายฉบับใหม่ จากตราประทับไปรษณีย์ใกล้กว่าร่อนปลิวมาถี่เข้าเรื่อยๆ จนแทบจะทุกสองสามวัน

ฉันนั่งบนโต๊ะเขียนหนังสือ ขีดเขียนลายมือในสิ่งเสกสรรค์ บอกเล่าความจริงปะปนความลวงและความฝัน ประดุจมีอีกตัวตนในร่างของฉัน…จากนามแฝงที่คิดได้ฉับพลันในวันแหงนมองท้องฟ้า

จันทร์เสี้ยวเดียวดาย…ความหมายจริงแท้ อันเพียงพอจะอธิบายชีวิตของฉัน ซึ่งแม้กระทั่งขณะเขียนหามิตรคนใหม่ ก็ให้ปราศจากความรู้สึกรู้สาว่าจะสดชื่นรื่นเริงได้ ฉันเพียงแค่…เพียงแค่จะแสวงหาทางไป โดยวางเดิมพันเงียบๆ กับตัวเองว่า

ถ้ากำจัดงูที่เลื้อยพันอยู่ในโพรงอกไม่ได้ ก็ให้มันเป็นฝ่ายรัดพันดูดกลืนฉัน ฆ่าฉัน รีบพาฉันลงนรกไปเสียอีกทีเถอะ