จดหมาย/ฉบับประจำวันที่ 16-22 สิงหาคม 2562

จดหมาย

0 ร้อน

นักการเมืองของไทย

เล่นการเมืองเพื่อหวังผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง

ความหมายของการเมืองที่แท้จริงคือ เป็นเรื่องอำนาจ และผลประโยชน์ของชาติและประชาชน

พรรคการเมืองที่ดี

ต้องมีนโยบายให้ประชาชนอยู่ดีกินดี และเศรษฐกิจของชาติเจริญรุ่งเรือง

ทุกวันนี้มีแต่นักการเมืองหน้าไหว้หลังหลอก

ส่วนมากจะอ้างเพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน

เจอหน้าเหมือนพวก–500 มักอ้างตัวเองเป็นคนดี มีศีลธรรม จริงป่าว

บักหำน้อย

 

“บักหำน้อย”

ตั้งใจจะว่าใครโดยตรงหรือเปล่า

หากเป็นกรณีพรรคเล็ก ก็อาจจะเป็นเช่นนั้น

เห็นแต่การต่อรองเอาประโยชน์

แต่ก็น่าเห็นใจเนาะ

อุตส่าห์รวมตัวกันเพื่อให้พรรคใหญ่ได้บริหารประเทศ

จะได้ช่วยเหลือชาวบ้าน (ฮา)

แล้วจะไม่ให้พรรคเล็กได้ประโยชน์อะไรบ้างเชียวหรือ

ที่สำคัญ พรรคหลักๆ เคยสัญญาว่าจะให้โน่นให้นี่เอง

แต่ก็มาลืมสัญญา

ก็ต้องส่งเสียงงอแงกันบ้าง

จะเอาศีลธรรม ความเสียสละ มาอ้าง

ไม่ด้ายยย…!

กรรมใดใครก่อ ก็ต้องรับผิดชอบ

 

0 เย็น

 

บรรณาธิการมติชนสุดสัปดาห์

ผมมาเข้าใจเรี่องปัญญา ซึ่งทำให้พระพุทธเจ้าตรัสรู้

ตามขั้นตอนดังนี้

“ปัญญา” คือ ความเมตตา

ซึ่งเมตตาอยู่ในพรหมวิหาร 4

เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

แล้วก็เข้าถึงอริยสัจ 4 ทางไปนิพพาน

อริยสัจ 4-ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ก็ไปถึงนิพพาน

ผู้มีปัญญา จึงเข้าถึงนิพพานได้

คนเราทุกคน ถ้ามีความรัก ความเมตตา ทุกคนจะไม่มีความแตกต่างเลย

เมื่อคนมีปัญญา ปัญหาก็หยุด นี่คือแนวทางของพระพุทธเจ้า

ตะวันรอน

อ.ลอง จ.แพร่

 

ในทางธรรม ไม่มีปัญหา

มีปัญญา ปัญหาก็หยุด

แต่ในสัปปายะสภาสถาน

ที่เป็นการรวมคำระหว่าง “สัปปายะ” และ “สภาสถาน” นั้น

“สัปปายะ” แปลว่า สิ่งที่สบาย, สภาพเอื้อ, สิ่งที่เกื้อกูล, สิ่งที่เหมาะสมกัน

รวมกับ “สภาสถาน” จึงมีความหมายถึง สภาที่มีแต่ความสงบร่มเย็นสบาย

ดังนั้น การจะเกื้อกูลเพื่ออยู่อย่างสงบร่มเย็นด้วยกันนั้น

ควรจะแบ่งสรรประโยชน์ตามสัญญา

อย่าเบี้ยว!!

 

0 เย็น-เย็น

 

ขอขยายความ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ตลอดสายของหลักปฏิจจสมุปบาท ดังนี้

 

1) อวิชชา           ทำให้เกิด           สังขาร

2) สังขาร           ทำให้เกิด           วิญญาณ

3) วิญญาณ         ทำให้เกิด           นามรูป

4) นามรูป          ทำให้เกิด           อายตนะ

5) อายตนะ ทำให้เกิด       ผัสสะ

6) ผัสสะ            ทำให้เกิด           เวทนา

7) เวทนา           ทำให้เกิด           ตัณหา

8) ตัณหา            ทำให้เกิด           อุปาทาน

9) อุปาทาน        ทำให้เกิด           ภพ

10) ภพ  ทำให้เกิด           ชาติ

11) ชาติ ทำให้เกิด           ชรา

12) ชรา ทำให้เกิด มรณะ

 

นี้คือลำดับขั้นตอนของวงจรชีวิต

ที่พระพุทธเจ้ารู้เห็นในวันตรัสรู้ธรรม

รู้ถึงการเกิดและการตายของสัตว์โลก

รู้ทุกข์และการดับทุกข์

รู้ว่าทุกข์ที่แท้จริงมาจากการเกิด

และรู้วิธีการดับทุกข์โดยสิ้นเชิง คือการไม่เกิดอีก

พระองค์ได้บอกถึงการดับทุกข์ไว้หลายวิธี

เช่น อริยสัจ 4 หลักของสังโยชน์ 10 และหลักปฏิจจสมุปบาท เป็นต้น

ในหลักของปฏิจจสมุปบาทนี้ ก็เหมือนกับหลักของโดมิโน ถ้าตัวหนึ่งล้มแล้วมันล้มกันไปตลอดสาย

หลักนี้ก็เหมือนกัน ถ้าตัวหนึ่งเกิดแล้ว มันจะเกิดต่อเนื่องไปตลอดสาย เหมือนกันทุกภพทุกชาติ

เมื่อรู้เช่นนี้เราก็จะตัดขั้นตอน ขั้นใดขั้นหนึ่งเสีย แล้วขั้นต่อไปมันจะไม่เกิดอีก

ความเห็นของผมเห็นว่าควรตัดขั้นตอนที่ 9 คือ อุปาทาน คือการยึดมั่นถือมั่น

ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่นต่อสิ่งใดๆ ขั้นตอนที่ 10-11-12 จะไม่เกิด

การเกิดก็จะไม่มีอีก

ร.ต.ท.นฐพล พิทักษ์

 

สาธุด้วย

หากใครจะตัดขั้นตอนขั้นหนึ่งได้

เพื่อไปตัดขั้นตอนอีกต่อๆ ไป

แต่ดูจะยาก

คือนอกจากจะตัดไม่ได้สักขั้นแล้ว

ยังเสริม เติมทุกข์ ให้หนาทึบยิ่งขึ้นไปอีก