ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 สิงหาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | การ์ตูนที่รัก |
ผู้เขียน | นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ |
เผยแพร่ |
การ์ตูนที่รัก/นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
The Jungle Book 1967
รำลึกเมาคลีลูกหมาป่า
เฉพาะเรื่องราวของเมาคลีลูกหมาป่าถูกสร้างใหม่ถึง 2 เรื่อง คือ The Jungle Book 2016 ของดิสนีย์เอง กำกับฯ โดย Jon Favreau ผู้อยู่เบื้องหลังหนังตระกูลมาร์เวลจำนวนมากและรับบทแฮปปี้ในไอออนแมน 2 และ 3
อีกเรื่องหนึ่งคือ Mowgli : Legend of the Jungle 2018 กำกับฯ โดย Andy Serkis ผู้รับบทกอลลัมในลอร์ดออฟเดอะริงและตัวละครโมชั่นแคปเจอร์อีกจำนวนมากรวมทั้งบาลูในหนังเรื่องนี้ที่เขากำกับฯ เองด้วย สนุกดีทั้งสองเวอร์ชั่น
กลับมาที่การ์ตูนปี 1967 ของดิสนีย์ นี่คือหนังเรื่องสุดท้ายของวอลต์ ดิสนีย์ เขาถึงแก่กรรมระหว่างที่หนังยังสร้างไม่เสร็จ หนังการ์ตูนสร้างจากหนังสือชื่อเดียวกันของรัดยาร์ด คิปลิง นักเขียนที่มีผลงานเกี่ยวกับนิทานสิงสาราสัตว์และอินเดียหลายเล่ม
แต่อย่าคาดหวังว่าหนังการ์ตูนจะตรงกับในหนังสือ มีเรื่องเล่าว่า เมื่อวอลต์ ดิสนีย์ ได้ลิขสิทธิ์หนังสือของคิปลิงมาแล้วเขายื่นให้มือเขียนบท Larry Clemmons พร้อมสั่งว่าอย่าอ่าน
“The first thing I want you to do is not to read it.”
หนังการ์ตูนของดิสนีย์เป็นเสมือนลำนำแจ๊ซในป่าเขาลำเนาไพร หนังสร้างขึ้นด้วยบทเพลงตั้งแต่แรก แม้กระทั่งการคัดเลือกผู้ให้เสียงตัวละครสำคัญ คือเชียร์ข่าน บาลู และคิงลูอี้ ดิสนีย์คัดสรรบุคคลที่มีความสามารถและชื่อเสียงด้านเสียงก่อน จากนั้นจึงให้ออกแบบตัวการ์ตูนตามบุคลิกของผู้ให้เสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟิล แฮริส ผู้รับบทเสียงของบาลูและร้องเพลงเอกให้แก่หนังซึ่งจะเป็นเพลงฮิตตลอดกาลในเวลาต่อมา
วิธีนี้ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ได้รับการค่อนขอดว่าทำไปทำไม แต่ความสำเร็จล้นหลามของหนังการ์ตูนเรื่องนี้ทำให้หลายคนต้องหันมามองอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อเวลาผ่านมาถึงปัจจุบันก็ต้องยอมรับว่าดิสนีย์ยังคงใช้เทคนิคนี้อยู่ ลองนึกถึงตัวการ์ตูนที่ทอม แฮงก์ เป็นผู้ให้เสียงก็จะพอนึกภาพออก
เมาคลีลูกหมาป่าฉบับการ์ตูนปี 1967 เป็นตัวอย่างของการ์ตูนที่เป็นเลิศด้านภาพด้วย ฉากในป่าแต่ละฉากสร้างสรรค์ได้สวยงามเกินฝันด้วยเทคโนโลยีแอนิเมชั่นเวลานั้น และยังหาเรื่องใดเทียบได้ยากในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นไบไม้ไหวหรือสายน้ำ
หนังเริ่มต้นด้วยฉากเสือดำบากีร่าได้ยินเสียงทารกร้องไห้ เป็นทารกมนุษย์ มันนำทารกนั้นไปให้หมาป่าเลี้ยงจนเติบใหญ่ วันหนึ่งเสือโคร่งเชียร์ข่านกลับมายังป่าแห่งนี้ มันเกลียดมนุษย์และแค้นฝังใจ หัวหน้าฝูงหมาป่าออกคำสั่งให้นำเมาคลีกลับไปอยู่กับมนุษย์ที่หมู่บ้าน หน้าที่นี้ตกเป็นของเสือดำบากีร่าที่จะพาไป แม้ว่าเมาคลีจะไม่อยากไป
ฉากที่สองเมาคลีเผชิญการสะกดจิตจากงูชื่อคา ฉากนี้บอกว่าเมาคลีช่วยเหลือตนเองไม่ได้เลยในป่าใหญ่
ฉากที่สามเป็นฉากสนุกสนานกับฝูงช้างภายใต้การนำของฮาติหัวหน้าโขลง เมื่อบากีร่าพยายามสอนสั่งเมาคลีมากเข้าและบอกว่าจะพาเขาไปส่งหมู่บ้าน เมาคลีก็ไม่พอใจแยกทางจากบากีร่าไป
ฉากถัดมาเมาคลีพบหมีบาลูผู้สนุกสนานไปวันๆ ด้วยเพลงฮิต Bare Necessities โดยมีบากีร่าถอนใจอยู่ห่างๆ
ทันใดนั้นเมาคลีก็ถูกฝูงลิงป่าจับตัวไปพบคิงลูอี้ ราชาอุรังอุตังผู้ครอบครองปราสาทอินเดียโบราณกลางป่าลึก
คิงลูอี้พยายามรีดความลับเรื่องไฟจากเมาคลีลูกมนุษย์ด้วยเพลง I Wan’na Be Like You แต่เมาคลีไม่รู้เรื่อง
จากนี้จึงเป็นฉากจู่โจมช่วยชีวิตของบากีร่าและบาลูอย่างสนุกสนาน
บากีร่าพยายามคุยกับบาลูให้เข้าใจว่าเมาคลีต้องกลับไปอยู่กับมนุษย์ที่หมู่บ้าน เมื่อบาลูพยายามคุยกับเมาคลีเรื่องนี้ เมาคลีรู้สึกตนเองถูกหักหลังจึงหนีจากไปอีก
นั่นคือเวลาที่เสือร้ายเชียร์ข่านใกล้เข้ามา
เมาคลีเป็นตัวละครที่มีวิกฤตอัตลักษณ์ตลอดทั้งเรื่อง เขาพยายามค้นหาว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ ด้วยการพยายามเลียนแบบคนนั้นคนนี้มั่วไปหมด ตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองเป็นลูกหมาป่า ต่อมาก็พยายามเป็นช้าง อยากเป็นหมี พยายามเป็นอุรังอุตัง แม้กระทั่งเป็นอีแร้งในตอนท้าย สุดท้ายเขาพบว่าเขาไม่สามารถเป็นอะไรได้เลยนอกจากตัวเอง
นี่คือพัฒนาการบุคลิกภาพของมนุษย์ และพอเขาผ่านพ้นการค้นหาอัตลักษณ์มาได้แล้วก็มาถึงวัยเจริญพันธุ์เริ่มสนใจเพศตรงข้าม เป็นว่าหนังทั้งเรื่องฉายภาพการเปลี่ยนผ่านจากระยะก่อนวัยเจริญพันธุ์สู่ระยะวัยรุ่นตอนปลายโดยไม่รู้ตัว
เมาคลีพยศต่อบากีร่าตลอดทั้งเรื่องเหมือนวัยทีนทั่วไป
หนังการ์ตูนบอกว่าเขาผ่านมาสิบฝน เขาคิดว่าตนเองแน่ สามารถเอาตัวรอดได้ในป่า
บากีร่าเป็นเสาหลักที่ช่วยนำพาเมาคลีและผู้ชมให้เติบโต เขาสุขุม เยือกเย็น มั่นคง และให้อภัยเสมอ
นี่คือพ่อ-แม่ในอุดมคติที่ไม่หวั่นไหวเมื่อภัยมา และไม่ถือสาเมื่อพบว่าลูกไม่ฟังอะไรเลย
ความแน่วแน่ของเขาปราบเมาคลีได้อยู่หมัดในตอนท้ายซึ่งเป็นส่วนที่ดีที่สุด นั่นคือพ่อ-แม่ที่แท้ย่อมปล่อยลูกจากไปเมื่อเขาพร้อมแล้ว
มิใช่เอาแต่พัวพันลูก-หลานไม่เลิกราเพราะคิดว่าตัวเองสำคัญ
เพราะความจริงคือตัวเองไม่สำคัญอีกแล้ว เมาคลีเป็นผู้ใหญ่แล้ว บากีร่าและบาลูเหมือนพ่อ-แม่ที่พร้อมจะจากไปในตอนท้ายอย่าง “หนิดหนม”
บาลูมิใช่แค่คู่ซี้ของเมาคลีหรือคู่ซี้ของบากีร่าธรรมดาๆ เขาทำหน้าที่ปกป้องเมาคลีตั้งแต่แรก แต่ด้วยบุคลิกภาพที่อ่อนโยนและนุ่มนวลกว่ามาก
หนังการ์ตูนพูดชัดเจนว่าเขาพร้อมจะรับเมาคลีเป็นบุตร จนกระทั่งถึงตอนจบที่เขาแปรสภาพเป็น “แม่” ผู้ดุร้ายยามที่ภัยมาถึงตัวลูกก็จะเห็นได้ชัด
เขาเป็นคนเดียวที่ยอมตาย
“เมาคลี” เป็นผลงานเรื่องสุดท้ายของวอลต์ ดิสนีย์ เขาเข้ามากำกับฯ งานทุกขั้นตอนเพื่อให้เป็นไปตามที่เขาวาดภาพเอาไว้
หนังสือของรัดยาร์ด คิปลิง มิได้ตรงไปตรงมาอย่างที่เห็นในหนัง เมาคลีไป-กลับหมู่บ้านหลายครั้งและมีหลายซับพล็อตให้ศึกษา
แต่เมาคลีในหนังการ์ตูนเติบโตม้วนเดียวจบ