ทวีปที่สาบสูญ : ขุมนรกที่แท้ของฉัน โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ 

ปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว ทุกข้อต่อในร่างกายคล้ายจะสั่นระริก กว่าจะสิ้นสุดชั่วโมงทำงาน และลากขาแทบเหมือนคลานกลับเข้าที่พักของตัวเอง

อีกแค่ก้าวจะเข้าถึงในห้อง ใจหายวาบเมื่อมีแรงบีบเสียดรัดที่ท้องน้อยรุนแรง มือป่ายยันกรอบประตูไว้ ความปวดแปลบแล่นขึ้นจนหูอื้อตาพร่า เป็นนานกว่าจะทุเลาลง

ฉันแยกกับพะนาเมื่อฟ้าเกือบมืดสนิท เด็กหญิงเดินเร็วลับหายไปทางเบื้องล่าง ส่วนตัวฉัน อีพี่สร้อยสายยัดไฟฉายใส่มือไว้หนึ่งกระบอก

“เอาไปติดตัว”

แรกฉันยังไม่เข้าใจ

“ตกดึกเดี๋ยวเขาก็ดับไฟ” อีพี่สร้อยสายพูด “จะขึ้นจะลงต้องใช้ไฟฉายเอา แต่อยู่ดีๆ ไม่ต้องออกมาหรอก โดนลากเข้าป่าจะหาว่าไม่เตือน”

“ยังไงพี่” ฉันอดสะดุดหูไม่ได้ “ที่นี่ไม่ปลอดภัยหรือ”

“โอ้ย! จะมีอะไรเล่า” นางนายจ้างกลับตอบไปอีกอย่าง “เขตหวงห้ามอย่างนี้จะมีใครกล้ามาทำอะไร มึงไม่ต้องกลัวหรอก ไม่เคยมีใครมาตายบนนี้สักคน”

ตั้งแต่หวนกลับมาพบกันครั้งนี้ ดูเหมือนอีพี่สร้อยสายจะแสดงถึงความเกลียดชังฉันอย่างไม่อ้อมค้อม แต่ก็นั่นเอง เราต่างก็รู้ว่ามีสิ่งที่ต้องยอมๆ กันไป

นางอยากได้แรงงาน ส่วนฉันอยากได้สตางค์และที่อยู่อาศัย

ถือเสียว่าต้องเฉลี่ยความอดทนกันไป

ใครทำใจได้ก่อนก็เป็นผู้ชนะ

ไม่ใช่ความคิดของฉันหรอก คำฟู่ของอัมพรต่างหาก ตอนที่หล่อนพยายามโน้มน้าวใจให้ฉันอยู่ต่อ

และก็นั่นไง คำพูดพล่อยๆ เปล่าดาย เหมือนน้ำไหลลงร่องขี้ดิน

 

เตียงลั่นเบาๆ เมื่อหย่อนก้นนั่งลง หลอดไฟกลมๆ เปลือยขั้วแขวนห้อยต่องแต่งใต้ฝ้า มีห้องส้วมอยู่ลับแลด้านหน้า ประตูตีด้วยไม้กับสังกะสี เห็นรอยปะผุกร่อน

นี่นะหรือ คือที่ซุกหัวนอนของฉันนับแต่บัดนี้ไป แล้วนี่นะหรือ ที่ใน…ห้วงเวลาหนึ่ง เคยให้ไออุ่นขึ้นได้จนแทบหายใจติดขัด

ก้มหัวลงแล้วหลับตา ฉันอยากจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งเพื่อพบว่าตัวเองแค่ฝันไป ฉันแค่ฝันร้าย แค่เคยฝันว่าหล่อนมากับฉันที่นี่

แต่เปล่าเลย…ทุกอย่างยังเป็นและมีอยู่จริง สิ่งที่เยียบเย็นและร้าวทารุณเหล่านั้น

หล่อนเคยทำมันจริงๆ

อย่างนั้นใช่ไหม ถึงได้บาดลึกยิ่งกว่าครั้งใดๆ

ทำไมหล่อนถึงทำเช่นนั้นได้

ทำไม

เพราะรู้ใช่ไหม

ว่าฉันจะหลงเพริดไป

ว่าฉันจะหลงกลจนได้

คนชั่วช้าสารเลว!

 

[ชื่นใจ…

นานแล้วสินะ ที่ฉันไม่ได้เขียนจดหมายถึงเธอ …เธอยังเป็นเพื่อนของฉันอยู่ไหม ฉันรู้สึกไม่ดีเลย ที่พอในวันหนึ่ง ก็มานั่งนึกถึงเธออย่างนี้

ขอโทษเถอะนะคนดี เธอผู้เป็นคนดี เธอดีเหลือเกินเมื่อเทียบกับคนอย่างฉัน

ฉันลืมเธอไปนานแค่ไหนกัน นานมากใช่ไหม เธอยังจำได้อยู่หรือเปล่าวันที่เราพบกันครั้งนั้น

ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับเธอมากเลย นอกจากคำว่าขอโทษ

ฉันขอโทษ

ฉันกำลังคิดถึงเธออยู่ใช่ไหม…]

 

ให้ตายเถอะ! เหมือนกำลังเดินทางไปในป่ารกชัฏ ฉันได้แต่เพ่งดูตัวหนังสือที่กระจัดกระจายอยู่ในอากาศ ในเมื่อไม่มีสมุดจะเขียน ไม่มีปากกา มีแต่ใจที่คอยกำหนดเพ่งจ้องข้างฝา พยายามบีบเค้นให้ตัวหนังสือหลั่งไหล

ฉันอยากเขียนถึงใครสักคนหนึ่ง ฉันอยากคิดถึงใครอีกสักร้อยๆ คน เพื่อจะพาตัวเองสลัดให้พ้นรูปเงาที่วนเวียนหลอกหลอน

ดึกดื่นมืดมิดที่ฉันควรจะเข้านอน รอตื่นขึ้นทำงานในเช้าวันพรุ่งนี้

แต่จนแล้วจนรอด ประสาทยังตื่นตัว แม้แขนขาจะล้าตึงแทบขยับไม่ไหว

คนชั่วๆ คนหนึ่ง ยังวนเวียนอยู่ในหัวไม่เลิกรา

 

ชื้นแฉะและในที่สุดก็ได้กลิ่นคาว ไม่รู้กี่โมงยามแล้วเมื่อฉันปาดมือเข้าลูบแตะ สัมผัสเหนอะเหนียว รู้ในบัดนั้นว่าประจำเดือนกำลังทะลักออกมา

ประจำเดือนมา ขณะที่ไม่มีโกเต๊กสักแผ่นเดียว

อีพี่สร้อยสายเอาเสื้อผ้ามาให้แล้วสองสามผืน โชคดีที่ในถุงมีผ้าซิ่นด้วย รีบถอดกางเกงออก คว้าผ้ามานุ่งพันไว้ แต่จะพอไหม ถ้าเลือดไหลออกเรื่อยๆ คงทำสะลีที่นอนเปื้อน

เจ็บแปลบอยู่ในอกจนโกรธ

แต่กูจะโทษใคร

[ชื่นใจ…ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ ชื่นใจ…]

ฉันพยายามสะกดตัวเองด้วยชื่อหนึ่งที่เคยมีอิทธิพลต่อใจ แต่ก็ไร้ประโยชน์สิ้นดี

อีกทีหนึ่ง พยายามหวนรำลึกถึงตาสกาวกว้างใหญ่ ต่างหูวับวาวแกว่งไกว

ค่ำคืนในห้องคับแคบ

แต่ก็แทบปะติดปะต่อไม่ได้

ไม่ว่าจะทำอย่างไร สัมผัสสุดท้ายที่เพิ่งเกิด

ก็ยังแจ่มชัดกว่า

 

ฉันรู้สึกว่าตัวเองพ่ายแพ้อย่างหมดรูป ยามที่นอนน้ำตาไหลอยู่ในห้องอับๆ คับแคบแห่งนั้น ฉันผู้มีเลือดไหลเลอะเต็มหว่างขา และต้องพยายามนอนกระถด เอาก้นและขาออกห่างจากสะลี

มีเลือดหยาดไหลอยู่ในอ้อมขาของฉัน ซึมซ่านออกมาหยดแล้วหยดเล่า กระทั่งมันเนืองนอง ฉันปล่อยให้มันหยาดย้อยลงตามร่องซอก ที่ๆ หล่อนเคยเกลือกกิน

ปาก

ลิ้น

มือ

แขน

เส้นผม

ดวงตา

ในห้วงมืดพร่างพร่า ประหนึ่งใบหน้าที่น่าชังจะยังเยาะเย้ยอยู่

 

ฉันนอนร้องไห้อยู่ในความมืดและเงียบสงัด หวังจะกลั่นเอาหยดน้ำออกจากอกให้แห้งเผือด ท่ามทุกหยดเลือดที่ไหลระริกระริน ฉันได้ยินเต็มหูตัวเอง ฉันก็แค่คนที่ไม่รักตัวเอง และโง่เง่าเขลาบัดซบนักหนา

ชีวิตมันคืออะไรกันหรือ จึงทรมานเจียนบ้า เดินทางเพื่อหลงวกไปวนมา อยู่ในเขาวงกตอย่างคนตาบอดหนวกใบ้

ฉันต้องการอะไรบ้างเล่าจากชีวิต กี่ทิศที่เคยไป ยังจะฝันถึงอีกหรือปีกนกที่ขาวไสว คนเราเกิดมาทำไม เพื่ออะไร คำถามเดิมๆ ที่ไม่เคยได้คำตอบเลยสักครั้ง

ฉันเดินทางจากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่ง เหมือนเรือที่รอคอยจะพบฟากฝั่ง หนหนึ่งที่พบปลายเชือกก็เลือกจะดึงรั้ง ทั้งๆ ที่มันแค่เศษด้ายปลายมือ

ฉันนอนร้องไห้อยู่ในคืนมืดดำ แต่น่าชังที่ใจยังคอยแต่จะจดจำและถ้อยคำเคยขานชื่อ อกฉันหรือ ใจฉันหรือ ที่หล่อนยื้อควักเอาไปจนได้

หล่อนทำกับฉันเช่นนั้นทำไม นางปีศาจเจ้ามารยาคนสาไถย ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะรัก ไม่คิดว่าจะเป็นคนที่ควรปักใจ ฉันคิดว่าตัวเองไม่คิดอะไร ฉันคิดทั้งหมดมากมาย เพื่อจะพบว่าตัวเองไม่อาจลืมสักน้อยหนึ่งประกายตา

มีดอกไม้อยู่อีกหรือที่โปรยปลิวลิ่วเป็นห่าฝน ขณะที่เลือดยังทะลักล้นอยู่เต็มหว่างขา…

ทำไมยังมีดอกไม้ตกลงมาจากฟากฟ้า

ฉันเป็นอะไรไป ทำไมถึงยังคงอยู่กับความทุกข์ทรมานที่เจือรสหวานอยู่แปร่งปร่า

ฉันเป็นอะไรไป ทำไมยังคิดถึงคนที่เลวทรามไม่เลิกรา

ทั้งๆ ที่ฉันควรจะสำนึกได้แล้วว่า หล่อนนั่นเองคือขุมนรกที่แท้ของฉัน