อนุสรณ์ ติปยานนท์ : ความหวังเอาชนะหมอกควัน

เมืองในหมอก (15)

นายหมอกสีเทามองไปที่ท้องฟ้าเบื้องหน้า “หนึ่งปีผ่านไป หมอกควันอยู่กับเรา” เขาเอ่ย

“แต่ชีวิตของเรายืนยาวกว่านั้น หากใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ชีวิตของเราควรยืนยาวกว่านั้น แต่นั่นเป็นความหวัง ในขณะที่ในความเป็นจริง ยังไม่มีใครค้นพบวิธีกำจัดหมอกควันเหล่านั้นได้เลย”

สีหน้าของนายหมอกสีเทาแสดงออกถึงความผิดหวังอย่างแท้จริง เขามองดูหญิงสาวผู้นั้น “ครั้งหนึ่งผมเคยทำงานในโรงงานผลิตหน้ากากป้องกันมลพิษ ครั้งหนึ่งผมเคยมีความหวังที่จะแสวงหาหนทางที่จะต่อสู้กับหมอกควันเหล่านั้น แต่บัดนี้ผมได้มาถึงจุดที่สิ้นหวังเสียแล้ว”

หญิงสาวผู้นั้นมองดูนายหมอกสีเทา “คุณเคยทำงานในโรงงานผลิตหน้ากากป้องกันมลพิษ?”

นายหมอกสีเทาพยักหน้าเบาๆ “งานที่ดูเหมือนจะเป็นกองหนุนอันแข็งแรงในสงครามครั้งนี้ แต่ผมพบว่าผมคิดผิด ผมแก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้เลย แม้ว่าจะทุ่มเทผลิตสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ดีเพียงใดก็ตาม กระนั้นผู้คนก็ยากจะเข้าถึงมัน พวกเขายังมีชีวิตเช่นเดิม ความคืบหน้าประการเดียวคือการที่หุ้นบริษัทของเราเติบโตขึ้นเท่านั้นเอง”

หญิงสาวผู้นั้นลุกขึ้นยืนและลำเลียงต้นไม้ที่ถูกคัดเลือกแล้วไว้ในมือ นายหมอกสีเทาทำเช่นนั้นกับต้นไม้ที่เหลือ พวกเขาแบกต้นไม้ทั้งหมดไว้ในมือ

“ระหว่างทาง ฉันจะเล่าเรื่องราวของฉันให้คุณฟังบ้าง”

 

ทั้งคู่เดินไปตามท้องถนนที่ร้างไร้ผู้คน บนถนนที่เบื้องบนถูกปกคลุมด้วยหมอกควันสีเทา กว่าหนึ่งปีแล้วที่เมืองเมืองนี้ตกอยู่ในสภาพดังกล่าว กว่าหนึ่งปีแล้วที่ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่มันควรจะเป็น

“ฉันทำงานอยู่ในหน่วยงานวิจัยด้านการกำจัดหมอกควัน” หญิงสาวผู้นั้นเอ่ยขึ้นระหว่างทาง

“คุณเคยทำงานในหน่วยงานวิจัยด้านการกำจัดหมอกควัน?”

“ใช่ มันเป็นงานที่ฉันคิดว่าสำคัญที่สุดสำหรับเมืองเมืองนี้ในเวลานี้ แต่หลังจากกาลเวลาผ่านไป ฉันก็พบว่าฉันคิดผิด ทุกโครงการที่เกิดขึ้นที่นั่นหาได้เป็นไปเพื่อการแก้ปัญหาเลย โครงการแล้ว โครงการเล่า เกิดขึ้นและจากไป มันคือการฆ่าเวลา มันคือการผลาญงบประมาณแบบเปลืองเปล่า ทุกคนทำงานไปวันๆ จนเสร็จโครงการพร้อมกับคำตอบที่ว่ามันใช้การไม่ได้ และแล้วก็จะมีใครบางคนเอ่ยขึ้นว่าถ้าเช่นนั้นเรามาเริ่มต้นกับโครงการใหม่กัน หลังจากนั้นทุกคนจะหมกมุ่นกับโครงการใหม่ไประยะหนึ่ง ก่อนที่จะจบลงด้วยถ้อยคำเดิม มันใช้การไม่ได้ เรามาเริ่มต้นกับโครงการใหม่กันเถอะ”

“ทำไมมันถึงเป็นเช่นนี้” นายหมอกสีเทาเอ่ยถาม

“มีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือ มีสิ่งใดที่มันผิดพลาดไปหรือ? ผมคิดมาเสมอว่าพวกคุณทุกคนที่หน่วยงานวิจัยนั่นคือผู้ที่ทรงปัญญาที่สุดของเมืองนี้ พวกคุณคือความหวังของพวกเรา”

“ศรัทธาอย่างไรเล่า” หญิงสาวผู้นั้นตอบ

“พวกเราทุกคนที่นั่น มีทุกอย่างที่เพียบพร้อม ทั้งเงิน อุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ และอำนาจในการตัดสินใจ แต่พวกเราขาดศรัทธา ไม่มีใครที่นั่นแม้เพียงคนเดียวที่จะเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถเอาชนะหมอกควันทั้งหลายได้ ทุกคนเพียงแต่ฆ่าเวลาไปวันๆ ทุกคนเพียงแต่ใช้ชีวิตไปวันๆ ให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่างเปล่าเท่านั้นเอง ไม่มีใครเลยที่จะลุกขึ้นและป่าวประกาศว่าเราจะต้องชนะมัน เราจะหาหนทางกำจัดหมอกควันเหล่านั้นจนได้ไม่ว่าเราจะต้องทุ่มเทสักเพียงใดก็ตาม”

นายหมอกสีเทาก้มหน้ามองพื้นถนนระหว่างทางเป็นเวลานาน และแล้วเขาก็หันหลับมายังหญิงสาวผู้นั้น

“คุณหมายความว่าสิ่งสำคัญที่สุดในการเอาชนะหมอกควันเหล่านั้นอยู่ที่ศรัทธาของเราหรือ?”

 

หญิงสาวผู้นั้นไม่ได้ตอบคำถามนี้ของนายหมอกสีเทา เธอนิ่งเงียบราวกับจมอยู่ในความคิดบางประการ

ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันอย่างเงียบๆ จนถึงร้านของนายหมอกสีเทา

หลังจากนั้นพวกเขาช่วยกันขุดหลุมตามตำแหน่งต่างๆ ทั่วบริเวณร้านก่อนจะทยอยนำเอาต้นไม้แต่ละต้นที่แบกติดตัวมาลงปลูกในหลุมเหล่านั้นทีละต้น

ราวสองถึงสามชั่วโมง ต้นไม้จำนวนมากเหล่านั้นก็มีที่ทางเป็นของมันเอง นายหมอกสีเทาเปิดร้าน เข้าไปภายในนั้นและชงเครื่องดื่มที่มีน้ำแข็งเป็นส่วนประกอบออกมาให้หญิงสาวผู้นั้น เธอดื่มเครื่องดื่มดังกล่าวอย่างกระหาย เช็ดเหงื่อที่อยู่ตามใบหน้าด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กของเธอ

“งานของเราในวันนี้เสร็จลงแล้ว ไม่น่าเชื่อว่านี่เป็นครั้งแรกที่ฉันออกมาทำงานกลางแจ้งเช่นนี้ ฉันคิดว่าการทำงานกลางแจ้งจะเลวร้ายกว่านี้เสียอีก แต่แปลกที่มันไม่ส่งผลอะไรเลย”

“คำอธิบายเดียวที่น่าจะป็นไปได้คือภูมิต้านทาน” นายหมอกสีเทาเอ่ยเบาๆ

“หนึ่งเดือนผ่านไป สองเดือน สามเดือนและผ่านมานานนับปี ผู้คนในเมืองนี้พัฒนาภูมิต้านทานต่อหมอกควันอันเลวร้ายขึ้นโดยพวกเขาไม่รู้ตัว หากพวกเขาตระหนักได้ถึงศักยภาพของตนเอง หากพวกเขาตระหนักได้ถึงภูมิคุ้นกันของตัวเอง พวกเขาย่อมมีโอกาสเอาชนะเจ้าหมอกควันสีเทาได้แน่ คุณเคยคิดจะกลับไปทำงานที่ศูนย์วิจัยแห่งนั้นอีกไหม” นายหมอกสีเทาเอ่ยถามหญิงสาวผู้นั้น

“ไม่” เธอตอบ “ฉันคิดว่าเราไม่ควรเสียเวลากับสิ่งที่หมดอายุไปแล้วเนิ่นนานกว่านี้”

นายหมอกสีเทาพยักหน้ารับ

 

เขาหายเข้าไปในร้านอีกครั้งหนึ่ง ในครานี้เขาหยิบเอาหน้ากากป้องกันมลพิษรุ่นสุดท้ายที่เขาร่วมผลิตออกมาด้วย น่าแปลกที่จนบัดนี้ เขายังไม่เห็นหน้ากากป้องกันมลพิษรุ่นนี้ถูกผลิตออกมาเพื่อจำหน่ายเลยทั้งที่มันเป็นหน้ากากที่มีคุณภาพดีอย่างยิ่ง

“นี่คือหน้ากากป้องกันรุ่นสุดท้ายที่ผมมีส่วนร่วมในการผลิต มันเป็นหน้ากากรุ่นที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยมีมา แต่ด้วยราคาของมันอาจเป็นสาเหตุให้คนส่วนใหญ่ละเลยมัน หน้ากากคือหน้ากาก คนส่วนใหญ่คงคิดเช่นนั้นและการต้องใส่หน้ากากเป็นประจำ ย่อมไม่มีอะไรดีกว่าการใช้เกณฑ์จากราคาของมันเป็นหลัก”

หญิงสาวผู้นั้นพลิกดูหน้ากากป้องกันมลพิษที่นายหมอกสีเทาหญิงนำมามอบให้ เธอรู้สึกคล้ายดังเคยเห็นหน้ากากเช่นนี้มาก่อน ที่ไหนสักแห่ง เวลาใดสักเวลา กระนั้นสิ่งที่เธอนึกขึ้นได้ก็มีแต่ความเลือนลาง เธอปลดหน้ากากประจำตัวออกใส่หน้ากากที่นายหมอกสีเทาให้มา เธอหายใจได้โล่งขึ้น “มันเป็นหน้ากากที่ดีเอามากๆ”

“ใช่” นายหมอกสีเทาเอ่ย “มันเป็นหน้ากากที่ดีมากจริงๆ” หลังจากนั้นนายหมอกสีเทาตักน้ำมารดต้นไม้ทุกต้น ใบไม้สีเขียวส่องต้นไม้จนเป็นประกาย “คุณลองออกกำลังกายบ้างไหม ต้นไม้ที่เราปลูกน่าจะดีใจที่ได้น้ำเลี้ยงจากคุณ”

 

ทั้งคู่ง่วนกับการรดน้ำต้นไม้ สลับกับการนั่งพักดูท้องฟ้า ไม่มีบทสนทนาอื่น เมืองทั้งเมืองยังถูกครอบคลุมด้วยหมอกควัน แต่นายหมอกสีเทากลับรู้สึกได้ถึงบางสิ่ง เขาลุกขึ้น ดึงมือของหญิงสาวผู้นั้นขึ้นทำให้เธอต้องลุกขึ้นตามและชี้ไปยังเส้นขอบฟ้าอันเลือนรางเบื้องหน้า

“ไม่ว่าหมอกควันจะปกคลุมเมืองหนาแน่นเพียงใด มันจะต้องมีจุดสิ้นสุดใช่ไหม หมอกควันไม่ได้ปกคลุมโลกทั้งโลก มันปกคลุมเพียงแค่เมืองของเรา ดังนั้น มันจึงมีลักษณะไม่ต่างจากร่มที่ครอบเราอยู่ หากเราเดินทางไปจนถึงเส้นที่สุดขอบนั้นเราอาจพบได้ว่าเพราะเหตุใดหมอกควันจึงไม่ขยายตัวต่อไป มีอะไรหรือที่เส้นขอบที่หยุดยั้งการขยายตัวของหมอกควันดังกล่าว คุณว่าเช่นนั้นไหม?”

หญิงสาวผู้นั้นนิ่งคิด “เป็นไปได้ แต่เราจะไปถึงที่นั่นได้อย่างไร ไม่มีรถโดยสารบริการ ไม่มีรถรับจ้าง ทุกคนขังตัวอยู่ในบ้าน ไม่มีการเดินทางอีกต่อไป”

“ง่ายดายมาก ถ้าหน้ากากป้องกันมลพิษของผมเป็นสิ่งของที่มีค่าจริง พรุ่งนี้เราจะพกพามันให้มากที่สุดและเราทั้งคู่จะออกเดินทางไปจนถึงเส้นขอบฟ้านั้น”