รายงานพิเศษ / ‘บิ๊กแดง’ กลางควันระเบิด ‘บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม’ บนสังเวียนการเมือง เจาะโผทหาร ในมือ ‘บิ๊กตู่’ วัดใจ ‘บิ๊กกบ-บิ๊กแดง’ วัดพลัง ‘บิ๊กแก้ว’ ข้ามห้วย

รายงานพิเศษ

 

‘บิ๊กแดง’ กลางควันระเบิด

‘บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม’ บนสังเวียนการเมือง

เจาะโผทหาร ในมือ ‘บิ๊กตู่’

วัดใจ ‘บิ๊กกบ-บิ๊กแดง’

วัดพลัง ‘บิ๊กแก้ว’ ข้ามห้วย

ด้วยเพราะ 5 ปีของการเป็นหัวหน้า คสช. มีมาตรา 44 มีกองกำลังรักษาความสงบ (กกล.รส.) แม้จะดูเงียบสงบ ไม่มีม็อบมายึดครองถนน แต่เสียงระเบิดก็ดังขึ้นเป็นระยะๆ

แล้วเมื่อหมด คสช. ไม่มีมาตรา 44 ไม่มี กกล.รส. ไม่มีกฎหมายพิเศษใดๆ และเข้าสู่รัฐบาลหลังการเลือกตั้ง โดยมีนายกฯ หน้าเดิม

แต่ที่เพิ่มเติมคือ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีและควบ รมว.กลาโหม ด้วย แถมคุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และดีเอสไอเองอีกด้วย

หาได้ให้บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ รองนายกรัฐมนตรี คุมอีกต่อไป ทั้งๆ ที่เป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง จนทำให้ถูกมองว่า พล.อ.ประยุทธ์รวบอำนาจเบ็ดเสร็จไว้ในมือ เพื่อความมั่นคงแข็งแรงของเก้าอี้นายกฯ ในยามที่ไม่มี ม.44

แม้จะเชื่อกันว่า พล.อ.ประวิตรก็ยังจะช่วยนายกฯ ดูแลกองทัพและตำรวจต่อไป แบบอยู่เบื้องหลัง เพื่อลดการถูกโจมตีก็ตาม แต่บารมีของ พล.อ.ประวิตรอาจไม่เต็มเปี่ยมเท่าเดิม

การเข้ามาคุมกองทัพและตำรวจด้วยตนเองของ พล.อ.ประยุทธ์ เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการประกาศจะปฏิรูปตำรวจ และแก้ปัญหาการซื้อขายเก้าอี้ รวมทั้งปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ที่ทำให้ไปคุมดีเอสไอเอง และจะผ่าตัดกรมสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ ที่มีตำรวจเยอะเกินไปนี้

แน่นอนว่า สไตล์การทำงานของ พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่ ดูจะใจดี ใครขออะไรให้หมด แตกต่างจาก พล.อ.ประยุทธ์ ที่เข้มข้นดุดันมากกว่า

จนทำให้เกิดความหวาดหวั่นถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์จะมาผ่าตัดกรมปทุมวันแห่งนี้

 

แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะไม่ให้น้ำหนักเรื่องทหารแตงโม ตำรวจมะเขือเทศ เมื่อเกิดเหตุระเบิดหลายจุดกรุงเทพฯ เมื่อ 1-2 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยเฉพาะที่หน้า สตช. และหน้ากองทัพไทย แจ้งวัฒนะ และสำนักปลัดกลาโหม ศรีสมาน

“คงไม่ใช่มั้ง” พล.อ.ประยุทธ์กล่าวเมื่อถูกถามว่า เหตุที่เกิดขึ้น อาจเป็นการแสดงออกถึงความไม่ยอมรับนายกฯ ที่มาคุมตำรวจหรือไม่

แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็หันไปถามบิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ที่ยืนอยู่ข้างหลังทันที

“ตำรวจไม่ยอมรับผมหรือ” ก่อนที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์รีบตอบตัวตรงเป๊ะว่า “ยอมครับ”

“ผมมาดูแลเขา ดูแลประชาชน ผ่านตำรวจเขา เพราะฉะนั้น ตำรวจไม่พอใจผม ไม่มีหรอก เพราะรู้จักกันทั้งนั้นหลายสิบปี จำหน้ากันได้หมด เราต้องอยู่ด้วยความไว้ใจกัน” พล.อ.ประยุทธ์ใช้โอกาสนี้ทำความเข้าใจ

อีกทั้งเป็นจังหวะที่มาเยือน สตช.และประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ด้วยตนเองเป็นครั้งแรก

“คนจะวิเคราะห์ก็วิเคราะห์ได้ทั้งนั้น หลายเรื่อง…” พล.อ.ประยุทธ์ยังติดใจ

เพราะในห้วง 5 ปีของการเป็นนายกฯ ของรัฐบาล คสช.นั้น มีข่าวสะพัดว่าจะเปลี่ยนตัว ผบ.ตร.มาหลายครั้ง โดยมีบิ๊กปู พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ลุ้นขึ้นแทน

แต่ด้วยความที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์เป็นน้องรักของ พล.อ.ประวิตร จึงอยู่ยงคงกระพันมาได้ 4 ปีแล้ว และคาดว่าจะอยู่ยันเกษียณกันยายน 2563

ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์จึงไม่ได้คาดคิดว่าจะเป็นปัญหาภายใน สตช.เอง หรือเป็นเพราะความหวาดหวั่นต่อการมาของ พล.อ.ประยุทธ์

หรือแม้แต่จะเป็นการท้าทายอำนาจ หรือลูบคม พล.อ.ประยุทธ์ เอง ที่คุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ทั้งทหารและตำรวจ ความมั่นคง แต่ก็ยังเกิดระเบิดได้

“ไม่เกี่ยวกัน ผมคุยกับพี่น้องทุกคน และมี รมช.กลาโหม และ รมว.มหาดไทย และตำรวจ ก็ไปในทางเดียวกัน เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือและเชื่อมั่น” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ

แต่ในภาพรวมแล้ว ยังไม่มีเค้าลางว่าจะเกิดปัญหาในการจัดโผโยกย้ายตำรวจ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์มอบให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์เป็นคนจัดโผตำรวจเสนอขึ้นมา

แต่ในทางปฏิบัติแล้วเชื่อว่า พล.อ.ประวิตรและทีมงานสายตำรวจ จะยังคงมีบทบาทไม่ต่างจากเดิม

แต่น่าจับตาบทบาทของบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. หลังสิ้นเสียงระเบิด ในฐานะรอง ผอ.รมน. นั้นดูจะได้กลิ่นการเมือง พร้อมระบุทันทีว่า เป็นกลุ่มเดิมๆ แนวคิดเดิมๆ สำนักเดิมๆ อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุครั้งนี้

ก่อนที่จะระบุชัดๆ ว่า มี Mastermind อยู่เบื้องหลัง เป็นพวกที่ไม่ยอมรับกติกา ไม่เคารพกติกา ตอนนี้เลือกตั้ง มีสภาแล้ว ก็ไปเล่นกันในสภา

“มาสเตอร์มายด์ พวกนี้ไม่ว่าจะวางระเบิด หรือทำเฟกนิวส์ ข่าวปลอม ก็เป็นการบ่อนทำลายประเทศเช่นกัน” บิ๊กแดงระบุ

ต่อให้จับกุมผู้ต้องสงสัยเป็นกลุ่มก่อความไม่สงบในภาคใต้ก็ตาม แต่ พล.อ.อภิรัชต์ก็ยังเชื่อว่า ย่อมต้องมีมาสเตอร์มายด์อยู่เบื้องหลัง แถมมีความลึกลับซับซ้อนมากขึ้นด้วย

“หาใช่การก่อเหตุเพื่อที่จะขยายพื้นที่ออกนอก 3 จังหวัดชายแดนใต้ แต่เป็นการมาทำเป็นงานๆ ไป” พล.อ.ประวิตรขานรับแนวคิดของบิ๊กแดง ในเรื่องมาสเตอร์มายด์

กรณีระเบิดกรุง ก็เป็นอีกสถานการณ์หนึ่งที่ พล.อ.อภิรัชต์แสดงออกให้เห็นว่า เคียงข้าง พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะน้องรักไม่เสื่อมคลาย โดยเฉพาะการแก้ข่าวที่ฝ่ายตรงข้ามกระหน่ำว่ารัฐบาล และฝ่ายความมั่นคง ก่อเหตุเอง เพื่อสร้างสถานการณ์

“นายกฯ ท่านมีภารกิจมากมายที่ต้องทำเพื่อประเทศชาติ ประชาชน รัฐบาลจะมาทำระเบิดขึ้นเองเพื่ออะไร ตรงกันข้าม เหตุระเบิด หรือความวุ่นวาย มักจะเกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศไทยจัดการประชุมสำคัญเสมอ”

พล.อ.อภิรัชต์ระบุ

 

ท่ามกลางควันระเบิดที่ยังไม่ทันจาง การเพิ่งมีรัฐบาลใหม่ รัฐมนตรีใหม่ แถมการเมืองก็ร้อนแรง ทั้งในสภาและนอกสภา จึงทำให้การแต่งตั้งโยกย้ายทหารถูกกลบไป

ทั้งๆ ที่จะเป็นโผโยกย้ายทหารโผแรกในมือ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ รมว.กลาโหมครั้งแรก

แม้ พล.อ.ประวิตรจะออกตัวไว้แล้วว่า จะยังช่วย พล.อ.ประยุทธ์ ดูแลกองทัพและตำรวจอยู่ต่อไป แม้จะไม่ได้บอกในรายละเอียดว่าได้รับมอบหมายให้คุมเรื่องใดบ้างก็ตาม

แต่เป็นที่รู้กันว่า การจัดทำบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายทหารชั้นนายพล ที่มีกำหนดส่งถึงมือบิ๊กกบ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.ทหารสูงสุด 15 สิงหาคมนี้นั้น พล.อ.ประวิตรจะยังคงมีบทบาท

แม้จะไม่ได้เป็น รมว.กลาโหม แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็น รมว.กลาโหมเงา ที่ยังคงมีประเพณี ผบ.เหล่าทัพไปทานข้าวเช้าที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ใน ร.1 รอ. ทุกวันศุกร์ตามเดิม

และเป็นจังหวะที่จะได้หารือในการจัดทำโผโยกย้ายด้วย โดยเฉพาะในช่วงวันเกิด 11 สิงหาคมทุกปีของ พล.อ.ประวิตร ที่บรรดานายทหารจะตบเท้ากันไปอวยพรแบบมืดฟ้ามัวดิน และจะสะท้อนให้เห็นได้ว่า ใครจะได้ตำแหน่งอะไร ใครสมหวัง ใครผิดหวัง

ด้วยความใกล้ชิดสนิทสนมของทั้ง พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกลาโหม พล.อ.พรพิพัฒน์ และบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. บิ๊กลือ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์  ผบ.ทร. และบิ๊กต่าย พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน ผบ.ทอ. จึงมีการพูดคุยกันอยู่ตลอด ในการจัดทำโผโยกย้าย ในตำแหน่งที่ต้องย้ายจากเหล่าทัพ มา บก.ทัพไทย และสำนักปลัดกลาโหม

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะ รมว.กลาโหม ได้ให้แนวทางในการจัดโผทหารไว้แล้ว โดยให้ ผบ.หน่วยในแต่ละระดับเสนอขึ้นมาให้ ผบ.เหล่าทัพพิจารณาตามขีดความสามารถ แต่หากความสามารถเท่ากัน ก็ให้ดูที่ความเหมาะสม

“ผมจะดูเรื่องความเหมาะสมให้ข้างบนอีกที” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

 

แต่ที่ใครๆ รอลุ้นก็คือ จะมีการวางตัวใครเป็น ผบ.ทหารสูงสุดคนใหม่ เพื่อมาแทน พล.อ.พรพิพัฒน์ที่จะเกษียณกันยายน 2563

ที่คาดกันว่า จะกลายเป็นศึกระหว่างทัพไทยกับทัพบกเลยทีเดียว และเป็นการชิงชัยกันของเตรียมทหาร 20 และเตรียมทหาร 21 ด้วย

เพราะหากให้ พล.อ.พรพิพัฒน์ตัดสินใจโดยลำพัง ก็คือ ดันบิ๊กแขก พล.อ.นเรนทร์ สิริภูบาล ผบ.สปท. (ตท.21) ให้ขึ้นเป็นเสนาธิการทหารในโผโยกย้ายนี้ เพื่อจ่อเป็น ผบ.ทหารสูงสุดคนต่อไป

แต่เป็นที่รู้กันดีว่า พล.อ.อภิรัชต์จะส่งบิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ. ให้ข้ามมาเป็นเสนาธิการทหาร ที่ บก.ทัพไทย เพื่อจ่อเป็น ผบ.ทหารสูงสุดคนต่อไปเลย

แต่ด้วย พล.อ.เฉลิมพล ที่ก็เป็น ตท.21 และมีอายุราชการถึงกันยายน 2566 จึงถูกจับตามองว่า จะขึ้นเป็น ผบ.ทหารสูงสุดในปีหน้า แล้วนั่งยาว 3 ปีเลยหรือไม่

ต้องดูพลังของเตรียมทหาร 20 ที่จะเจรจากับ พล.อ.อภิรัชต์ เพื่อช่วยผลักดันเพื่อนให้ขึ้นเป็น ผบ.ทหารสูงสุดก่อนสักคน เช่น บิ๊กชู พล.อ.ชูชาติ บัวขาว รอง เสธ.ทบ. ที่เพิ่งข้ามจาก ทบ. มาอยู่ บก.ทัพไทย เมื่อปีที่แล้ว

หรือหากเป็นคนในอย่าง เสธ.เบิร์ด พล.อ.ปริพัฒน์ ผลาสินธุ์ รอง เสธ.ทหาร สมาชิก ตท.20 ที่ พล.อ.พรพิพัฒน์สนับสนุน ส่งเข้าประกวดชิงกับ ตท.20 ด้วยกัน

ที่ล้วนเกษียณกันยายน 2564 ไม่ว่าใครขึ้นมาเป็น ผบ.ทหารสูงสุดก่อน ก็จะต่อด้วย พล.อ.เฉลิมพลนั่นเอง

แต่ดูท่าว่า พล.อ.อภิรัชต์น่าจะดัน พล.อ.เฉลิมพลขึ้น เสธ.ทหาร เพื่อจ่อเป็น ผบ.ทหารสูงสุดเลย แบบไม่ต้องให้ใครมาเป็น ผบ.ทหารสูงสุดขัดตาทัพก่อน

เพราะแม้จะอยู่ยาว 3 ปี  ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมี เพราะบิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ก็เป็น ผบ.ทหารสูงสุด

 

ยิ่งเป็นยุคเปลี่ยนผ่าน ที่ต้องมีการปรับโครงสร้างกองทัพใหม่ ให้ “เป๊ะ” มากขึ้น จึงจำเป็นที่จะต้องเลือกนายทหารที่ผ่านการฝึกหลักสูตรทหารรักษาพระองค์ ของทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ทม.รอ.) หรือ “ทหารคอแดง” มาเป็น ผบ.เหล่าทัพ

เพราะในส่วนกองทัพบกนั้น เป็นที่รู้กันว่า บิ๊กบี้ พล.ท.ณรงค์พันธุ์ จิตต์แก้วแท้ แม่ทัพภาคที่ 1 จะขึ้นมาเป็น ผช.ผบ.ทบ.ในโผโยกย้ายครั้งนี้ เพื่อรอจ่อคิวเป็น ผบ.ทบ.คนต่อไป เมื่อ พล.อ.อภิรัชต์เกษียณในปีหน้า 2563

หรือแม้แต่การส่งบิ๊กช้าง พล.ต.เอกรัตน์ ช้างแก้ว นายทหาร ตท.23 สายวงศ์เทวัญ ก็เป็นทหารคอแดง ไปเป็นรอง ผบ.รร.นายร้อย จปร. เพื่อจ่อเป็น ผบ.รร.นายร้อย จปร.คนใหม่ เพื่อที่จะมาคุมแหล่งกำเนิดนายทหารของ ทบ. ให้เป๊ะทุกกระเบียดนิ้ว เพราะปัจจุบัน กรมนักเรียนนายร้อยฯ รักษาพระองค์ ก็เป็นนักเรียนนายร้อยคอแดง

ส่วนกองทัพไทย พล.อ.อภิรัชต์ซึ่งเป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ด้วย ผลักดัน พล.อ.เฉลิมพลขึ้นเป็น ผบ.ทหารสูงสุดคนใหม่เลยทีเดียว

ไม่ใช่เพราะเป็น “ทหารคอแดง” แต่ยังเป็นเพื่อนรุ่นน้อง ตท.21 ที่ พล.อ.อภิรัชต์สนิทสนมอย่างมาก ด้วยเพราะ พล.อ.อภิรัชต์แม้จะเป็น ตท.20 แต่รีพีต จึงได้มีโอกาสเรียนร่วมกับ ตท.21

จึงไม่แปลกที่ ทบ.ในยุค พล.อ.อภิรัชต์ จะมี ตท.21 ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งสำคัญด้วย ทั้ง พล.ท.สุนัย ประภูชะเนย์ ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (ผบ.นสศ.) แม่ทัพภาคที่ 5 ที่คาดว่าจะขึ้นเป็น ผช.ผบ.ทบ.ในโผโยกย้ายนี้

หรือมีบิ๊กแยม พล.ท.ปราการ ปทะวานิช เป็น ผบ.หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (ผบ.นรด.) ที่เทียบเท่าแม่ทัพภาคที่ 7

ท่ามกลางการจับตามองว่า บิ๊กหม่อง พล.ต.ธเนศร์ วงศ์ชอุ่ม รองแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อนสนิทอีกคนใน ตท.21 ของ พล.อ.อภิรัชต์ จะได้ขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ในโผนี้ แทนบิ๊กอิ๊ด พล.ท.ธัญญา เกียรติสาร รุ่นพี่ ตท.19 หรือไม่

(ขวา) พล.ท. สุนัย ประภูชะเนย์ (ซ้าย) พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์

แน่นอนว่า ทุกสายตาจับจ้องไปที่ พล.อ.พรพิพัฒน์ในฐานะ ผบ.ทหารสูงสุด จะสามารถเจรจาต่อรองเพื่อให้ “คนใน” ได้ขึ้นนั่งแท่นแทนตนเองได้หรือไม่

เพราะแม้ ผบ.ทหารสูงสุด 6 คนต่อเนื่องกัน ที่เติบโตมาใน บก.กองทัพไทยก็ตาม แต่ก็อาจจะถึงเวลาที่กองทัพบกจะขอโควต้า ผบ.ทหารสูงสุดบ้าง

ยิ่งในยุคนี้มี พล.อ.ประยุทธ์เป็น รมว.กลาโหมและนายกรัฐมนตรี ที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุด หาใช่ พล.อ.ประวิตรอีกต่อไปไม่

ดังนั้น เพาเวอร์ของ พล.อ.อภิรัชต์ ผบ.ทบ.น้องรักของ พล.อ.ประยุทธ์ จึงมีน้ำหนักมากขึ้น หากจะผลักดัน ผบ.เหล่าทัพคนใด

รวมทั้ง พล.อ.อ.มานัต วงษ์วาทย์ เสนาธิการทหารอากาศ เพื่อน ตท.20 ที่จะได้ขึ้นมาเป็น ผบ.ทอ.คนใหม่ โยกย้ายตุลาคมนี้ แทน พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ที่กำลังจะเกษียณ

หรือแม้แต่ ผบ.ทร.คนใหม่ ในปีหน้า ที่กำลังชิงชัยกัน ก็มีแต่ ตท.20 ทั้งบิ๊กอุ้ย พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน เสธ.ทร. บิ๊กแก๋ง พล.ร.ท.สิทธิพร มาศเกษม ผบ.ทัพเรือภาคที่ 3

ไม่ว่า พล.อ.อภิรัชต์จะสนับสนุนใคร ก็ต้องดูด้วยว่าตรงใจ พล.ร.อ.ลือชัยหรือไม่ เพราะดูเหมือนจะเล็งไว้แล้วว่า จะให้ พล.ร.ท.สิทธิพรเป็นทายาทคุมทัพน้ำ

ไม่แค่นั้น ด้วย พ.ร.บ.รักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ฉบับใหม่ 2562 หรือที่เรียกว่า พ.ร.บ.ความมั่นคงทางทะเล ทำให้กองทัพเรือต้องปรับโครงสร้างในการจัดตั้ง กอ.รมน.ทะเลขึ้น ที่คาดว่าจะมีนายพลเพิ่ม 12 นาย มาดูแล 12 สำนักต่างๆ และ 4 พลเรือโท ที่จะมาเป็นระดับผู้บริหาร

ที่จะกลายเป็นตำแหน่งที่มารองรับ และแก้ปัญหาความไม่ลงตัวของการแต่งตั้งโยกย้ายทหารได้อีกด้วย

 

กระนั้น การโยกย้ายครั้งนี้ ทำให้ดวงไฟฉายส่องไปที่ พล.อ.พรพิพัฒน์ รุ่นพี่ ตท.18 และ พล.อ.อภิรัชต์ รุ่นน้อง ตท.20 ในการเลือกว่าที่ ผบ.ทหารสูงสุดคนใหม่ ที่คาดว่า ในที่สุดคงต้องถึงขั้นต้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ตัดสินใจ

แต่ลำพังการโยกย้ายของ บก.ทัพไทยนั้นก็มีหลายตำแหน่งที่น่าจับตา โดยเฉพาะ ผบ.หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ผบ.นทพ.) ที่จะมาแทนบิ๊กเจอร์รี่ พล.อ.ธนเกียรติ ชอบชื่นชม ที่จะเกษียณกันยายนนี้ แล้วจะไปช่วยงาน พล.อ.ประวิตรต่อ

ที่มีชื่อบิ๊กหรั่ง พล.อ.พีระพงษ์ เมืองบุญชู หัวหน้าคณะนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำ ผบ.ทหารสูงสุด เพื่อน ตท.18 ของ พล.อ.พรพิพัฒน์ ที่ปกติแล้วตำแหน่งนี้จะขยับไปเป็น ผบ.นทพ.

แต่หาก พล.อ.เฉลิมพลข้ามจาก ทบ.มาเป็น เสธ.ทหาร ก็อาจทำให้ พล.อ.นเรนทร์กลายมาเป็น ผบ.นทพ.ไปพลางก่อน เพื่อรอขึ้นเป็นรอง ผบ.ทหารสูงสุด

ส่วนซีไอเอเมืองไทยอย่างศูนย์รักษาความปลอดภัย (ผบ.ศรภ.) หน่วยข่าวกรองของ บก.ทัพไทย นั้นคาดกันว่า บิ๊กเด้ง พล.ต.วัชระ พิทยานรเศรษฐ์ ผบ.หน่วยข่าวกรองทางทหารกองทัพบก (ขกท.) เตรียมทหาร 21 ที่จะข้ามจาก ทบ.มาเสียบเป็นหัวหน้าซีไอเอคนใหม่

ที่คาดกันว่า ตำแหน่งด้านการข่าว พล.อ.ประวิตรจะมีส่วนสำคัญในการคัดเลือก เพราะนอกจากดูแลความมั่นคงแล้ว พล.อ.ประวิตรดูแลงานการข่าวอีกด้วย

ทั้งหมดนี้เป็นบทเริ่มต้นของรัฐบาลประยุทธ์ สมัย 2 ที่แม้จะมั่นใจว่าอยู่ครบเทอม 4 ปี และต่อ 4 ปีได้ก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครหยั่งรู้ว่ามีอะไรรออยู่เบื้องหน้า

     เพราะนี่อาจเป็นแค่ wake up call เท่านั้น และวัดฝีมือ พล.อ.ประยุทธ์ที่คุมทหาร คุมตำรวจ แถมมี ผบ.เหล่าทัพอยู่ในมือทั้งแผง เป็นอย่างยิ่ง