ในประเทศ / มาสเตอร์ MY

ในประเทศ

 

มาสเตอร์ MY

 

เมื่อเกิดเหตุร้ายใดๆ ขึ้น โดยเฉพาะการวางระเบิด หรือก่อวินาศกรรม

สิ่งสำคัญหนึ่งคือ เป้าหมายหลัก ที่ต้องค้นหา หรือคลำหา

นั่นคือ หามาสเตอร์มายด์ (MASTERMIND) ให้ได้

เพื่อขจัดความความสับสน หรือฉกฉวยประโยชน์จากสถานการณ์

มิฉะนั้นจะเกิด  “มาสเตอร์ MY” หรือ “พวกตนเองเป็นใหญ่”

ที่มักจะใช้ความเชื่อ ความลำเอียง หรืออคติส่วนตัวมาชี้นำหรือตัดสินใจเหตุการณ์ดังกล่าว

อันจะทำให้เกิดความสับสน หรือเพื่อประโยชน์ทางการเมืองแก่ฝ่ายตน

ซึ่งถือว่าอันตรายยิ่ง

อย่างกรณีเหตุระเบิดและวางเพลิงหลายจุดในกรุงเทพฯ ที่ผ่านมา มีพวกมาสเตอร์ MY

พยายามชี้ในทันทีว่ามี “การเมือง” อยู่เบื้องหลัง

สะท้อนถึงความอคติที่จะโยนบาปให้ฝ่ายที่ตนเองไม่ชอบ

ด้วยการ “บิด” คำพูดของผู้มีอำนาจ ที่นำไปสู่ความเข้าใจผิดได้ง่าย

 

อย่างหลังเกิดเหตุ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (รอง ผอ.รมน.) กล่าวถึงเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นว่า

“ทั้งนี้ ตั้งข้อสังเกตว่า ลักษณะเหตุการณ์รูปแบบการก่อเหตุคล้ายกับเหตุการณ์ในปี 2549 ที่เป็นกลุ่มคนเดิมๆ มีแนวคิดเดิมๆ และมาจากสำนักเดิมๆ เคยระเบิดป้อมตำรวจหลายจุด สิ่งที่ผมเป็นห่วงก็คือ จะมีฝ่ายการเมืองหรือพวกที่ไม่หวังดีกับประเทศมาใส่ความว่าฝ่ายความมั่นคงทำเรื่องแบบนี้ทำเอง เพราะเรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ทั้งที่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาจากกลุ่มเดิมๆ ความคิดเดิมๆ มีคนสั่งการคนเดิม แต่คนลงมืออาจเป็นคนหน้าใหม่”

เมื่อ พล.อ.อภิรัชต์กล่าวถึงคำว่า คนหน้าเดิมๆ ขึ้นมา

แถมพ่วงคำว่าปี 2549 เข้ามาด้วย

เหล่ามาสเตอร์ MY ซึ่งมีอารมณ์และภูมิหลังตกค้างมาจากสงครามสี ออกมาสลอน

และชี้นิ้วไปในทันทีว่า กลุ่มคนหน้าเดิม ก็คือ กลุ่มฝ่ายการเมืองที่อยู่ตรงกันข้ามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

ทำให้เกิดวาทะตอบโต้ทางการเมืองเกิดขึ้นอย่างดุเดือด

พร้อมๆ กับการชี้หน้าเข้าหากัน อีกฝ่ายก็ว่าเป็นพวกอำนาจเดิม

ขณะที่อีกฝ่ายก็ชี้หน้ากลับว่าเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อรักษาอำนาจที่เคยมีหรือเปล่า

กลายเป็นวิวาทะเดือด ข้างสถานการณ์ระเบิดจริง

ที่รังแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง

 

แต่ในกรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร ถือว่าเป็นเรื่องโชคดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย 2 คนได้รวดเร็ว

และคำให้การของ 2 คนนั้นประกอบกับหลักฐานที่พบ รวมถึงภาพในวิดีโอวงจรปิด

ทำให้ส่อชี้ชัดว่า เกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้ายภาคใต้

และทำให้ทิศทางการสอบสวนของตำรวจชัดเจน

ไม่สะเปะสะปะตามกระแส “การเมือง” ที่เกิดจากการชี้นำของพวกมาสเตอร์MY

และสามารถขยายผลหาตัวคนร้ายได้อย่างรวดเร็ว

โดยเบื้องต้นพบว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุจากพยานหลักฐานพบว่ามีทั้งหมด 15 คน

แบ่งเป็น จุดสยามพารากอนและสยามเซ็นเตอร์ พื้นที่ สน.ปทุมวัน 2 คน

สถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี พื้นที่ สน.ยานนาวา 2 คน

ตลาดประตูน้ำ พื้นที่ สน.พญาไท 4 คน

ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ พื้นที่ สน.ทุ่งสองห้อง 2 คน

สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (ศรีสมาน) พื้นที่ สภ.ปากเกร็ด จำนวน 1 คน

หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2 คน

และห้างสรรพสินค้าค้าส่งบริเวณแยกประตูน้ำอีก 2 คน

ใช้ระเบิดก่อการทั้งหมด 9 ลูก ทั้งหมดมีลักษณะเหมือนกัน

ได้ชื่อผู้ต้องสงสัยไว้แล้ว 7 คนเพื่อนำไปสู่การจับกุมต่อไป

 

นับเป็นความคืบหน้าในทางคดีที่น่าพอใจ แม้จะยังไม่แจ่มชัดในตัวผู้บงการ หรือมาสเตอร์มายด์

แต่เป้าก็แน่วแน่ อยู่ที่กลุ่มก่อความไม่สงบในภาคใต้ ทำให้การสอบสวนเป็นไปอย่างมีเอกภาพ

ไม่หลงวนเวียนไปกับกระแส “การเมือง”

ซึ่ง พล.อ.อภิรัชต์ก็ให้สัมภาษณ์อีกครั้งถึงความคืบหน้าของคดีว่า ขอให้โซเชียลและสื่อต่างๆ อ้างอิงจากตำรวจ อย่ามโนกันไปเอง เพราะมีคนทั้งชอบและไม่ชอบก็ต่างมโนกันไป

โซเชียลนั้น “ข่าวปลอม” มีอิทธิพลมาก

ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลพยายามตั้งศูนย์ในการต่อต้านเฟกนิวส์หรือข่าวปลอมขึ้นมา

พล.อ.อภิรัชต์กล่าวถึงสาเหตุของการก่อเหตุระเบิดว่าเพราะผู้ดำเนินการต้องการทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่น เนื่องจากเกิดเหตุในช่วงที่บ้านเมืองมีผู้นำต่างประเทศมาประชุมงานด้านการต่างประเทศ ซึ่งเคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้ในการประชุมอาเซียนเมื่อปี 2552 ที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี

ไม่อยากบอกว่าเป็นฝ่ายใด แต่เชื่อว่าคนดีๆ เขาไม่ทำกัน

ส่วนกลุ่มเดิมๆ ที่ พล.อ.อภิรัชต์เคยระบุไว้เข้ามาเกี่ยวข้อง ยังไม่สามารถเชื่อมโยงไปถึงคนที่บงการหรือวางแผนได้ คนที่บงการส่วนใหญ่จะสืบไปถึงตัวได้ยาก ทำให้ได้แต่คาดเดา และต้องใช้เวลาในการหาหลักฐาน ขณะนี้มั่นใจว่าตำรวจปฏิบัติงานได้เป็นอย่างดี และตอบสนองนายกรัฐมนตรีได้

ในส่วนของกองทัพบกให้การสนับสนุนเรื่องข้อมูลข่าวสารที่เคยรวบรวมไว้

ซึ่งดูจะให้ภาพมาสเตอร์มายด์ที่ “กว้าง” ขึ้น

เช่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีนี้อย่างระมัดระวัง

โดยบอกว่า การดำเนินการนำตัวคนร้ายมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้นั้น ต้องทำด้วยวิธีการตามกระบวนการยุติธรรม ทั้งวัตถุพยาน พยานบุคคลจะต้องทำให้รอบคอบ ทั้งนี้ รัฐบาลจะทำเรื่องนี้ให้ดีที่สุด

ส่วน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก็อยู่ในแถวโดยเคร่งครัด

โดยชี้ว่า เบื้องต้นกลุ่มที่เข้ามาก่อเหตุมาจากจังหวัดชายแดนภาคใต้

สอดคล้องกับสิ่งที่ตำรวจดำเนินการมา

แม้จะออกตัวว่า ส่วนจะมีความเชื่อมโยงกับการเมืองหรือไม่นั้น ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนและยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ยังไม่ตัดประเด็นใดออก เพราะการก่อเหตุมีการดำเนินการกันหลายคน ซึ่งเราจะต้องไปต่อจิ๊กซอว์ว่ากลุ่มเหล่านี้เดินทางมาอย่างไร รวมถึงการหาวัตถุว่ามาจากที่ใดด้วย

ซึ่งก็ไม่ได้ปักธงแบบเหล่ามาสเตอร์ MY

 

นี่ย่อมเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่ผู้นำรัฐบาล และผู้นำกองทัพ จะมองเห็นสอดคล้องกัน นั่นคือ มุ่งเป้าไปยังประเด็นปัญหาภาคใต้ตามพยานหลักฐาน และผู้ต้องสงสัยที่จับกุมได้

แม้คำพูดของ พล.อ.อภิรัชต์ในตอนต้น ที่ระบุถึง “คนหน้าเดิม” อาจจะเข้ามาเกี่ยวข้อง

ซึ่งทำให้เกิดกระแสความเห็นต่างขึ้น

และจุดชนวนให้ดึง “ศึกการเมือง” เข้ามาเกี่ยวข้อง ด้วยมีเหล่ามาสเตอร์ MY ที่ถือเอาความเชื่อของตนเป็นหลัก รีบชี้ไปยังฝ่ายการเมืองตรงข้ามว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง

ทำให้ฝุ่นการเมืองคลุ้งขึ้นมาระดับหนึ่ง

แต่ก็อย่างที่บอก โชคดีที่ตำรวจสามารถได้ตัวผู้สงสัยโดยเร็ว ทำให้ “ประเด็น” ไม่แตกฉานซ่านเซ็น พุ่งเป้าไปยังปัญหาใต้เป็นหลัก

จึงทำให้ “คนหน้าเดิม” มีแนวโน้มคือมาสเตอร์มายด์ หรือแกนนำป่วนใต้

มากกว่านักการเมืองใน “สงครามสี”

ซึ่งความชัดเจนนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ตำรวจสามารถขยายผลหาตัวคนร้ายได้เพิ่มขึ้นอย่างน่าพอใจ

ที่สำคัญ ยังทำให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับปัญหาภาคใต้ โดยเฉพาะกองทัพ คงจะต้องทบทวนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้อีกครั้ง

เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า ในห้วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลจากคณะรักษาความสงบแห่งชาคิ (คสช.) ได้ใช้กองทัพเป็นกลไกหลักในการแก้ไขปัญหา

ซึ่งคงไม่ต้องหาคำตอบว่า ประสบความสำเร็จเพียงใด

เพราะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ได้ขยายศักยภาพในการก่อความไม่สงบ กว้างขวางออกมาจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มากยิ่งขึ้น

ค่อยๆ ขยายเพิ่มไปยังจังหวัดภาคใต้อื่น เรื่อยมาจนถึง จ.ประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ภูเก็ต สงขลา

และเริ่มชิมลางเข้ามาปฏิบัติการใน กทม.แล้วไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง

ข่มขวัญให้เห็นว่า พวกตนมีศักยภาพเพียงพอที่จะก่อความไม่สงบที่ใดก็ได้หากต้องการ

 

นี่ย่อมเป็นตัวชี้วัดสำคัญ ว่า 5 ปีที่ผ่านมา กองทัพได้ควบคุม พูดคุย เจรจา กับฝ่ายก่อความไม่สงบ ได้สำเร็จเพียงใด

หรือยังก่อเงื่อนไขให้คนเหล่านี้อ้างเหตุผลในการปฏิบัติการเพิ่มขึ้นหรือไม่

เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่เป็นสัญลักษณ์ทางความมั่นคง เขตเศรษฐกิจ และระบบขนส่ง ล้วนเป็นสัญญาณที่น่าเป็นห่วง

จำเป็นที่รัฐบาลใหม่ ภายใต้ผู้นำเดิม จะต้องรีบทบทวนและเร่งแก้ไขอย่างจริงจัง

มิใช่เบี่ยงเบน กดทับ ให้เป็นแค่การกล่าวหาแบบเดิมๆ ว่า สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นผลจากความขัดแย้งทางการเมืองจากคนหน้าเดิม

ตามการชี้นำของมาสเตอร์ MY ที่มากด้วยอคติ และก้าวไม่พ้นการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง ที่หวังจะครองอำนาจต่อไปนานๆ

จนมองไม่เห็นวิกฤตจากมาสเตอร์มายด์ตัวจริง ที่ปฏิบัติการเย้ยใต้จมูกเข้ามาทุกที!!