ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 สิงหาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | On History |
ผู้เขียน | ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ |
เผยแพร่ |
ดูเหมือนว่า ในช่วงก่อน พ.ศ.1000 ใครต่อใครที่อยู่ภายนอกโลกของอุษาคเนย์นั้น จะเรียกภูมิภาคของเราไปในทิศทางเดียวกันว่า “แผ่นดินทอง”
ซึ่งก็มีคำเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละภาษา แถมยังมีเรื่องเล่าผูกโยงในเชิงปกรณัมเสียมาก
ตัวอย่างสำคัญก็คือ ชื่อ “สุวรรณภูมิ” ซึ่งเป็นคำสันสกฤต ใช้เรียกดินแดนที่อยู่ทางทิศตะวันออกของชมพูทวีป มีพยานอยู่ในชาดก หรือเอกสารเก่าแก่ทั้งของอินเดียและลังกาจำนวนมาก
และก็ไม่ต้องสงสัยเลยนะครับว่า ดินแดนทางทิศตะวันออกของชมพูทวีปที่ว่า หมายถึงพื้นที่อีกฟากข้างหนึ่งของอ่าวเบงกอล ซึ่งปัจจุบันเรียกกันว่า “อุษาคเนย์” นี่แหละ
(ส่วนจะจำเพาะเจาะจงว่าหมายถึงดินแดนตรงไหนในอุษาคเนย์หรือเปล่านั้น ไม่ใช่ประเด็นที่ข้อเขียนชิ้นนี้ต้องการจะถกเถียงถึง)
ร่องรอยสำคัญที่ทำให้ชาวชมพูทวีปเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า “สุวรรณภูมิ” คือ “แผ่นดินทอง” มีอยู่ในชาดกของพระพุทธศาสนาอย่างพระมหาชนก ที่อ้างว่า ผู้ที่สามารถมาทำการค้ายังสุวรรณภูมิได้กลับไป จะกลายเป็นผู้มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวย
จึงไม่แปลกอะไรที่ดินแดนแห่งนี้จะถูกเรียกว่าสุวรรณภูมิ ไม่ว่าภูมิภาคของเราจะเต็มไปด้วยทองอย่างชื่อหรือเปล่าก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเสียหน่อย?
ในทำนองคล้ายๆ กัน จีนก็เรียกพื้นที่บริเวณอุษาคเนย์ปัจจุบันว่า “จินหลิน” คำนี้ก็มีความหมายไม่ต่างไปจากสุวรรณภูมิในภาษาสันสกฤต เพราะถอดความออกมาได้ไม่ต่างกันว่า “แผ่นดินทอง” แต่ไม่ได้มีเรื่องราวในเชิงปกรณัมมากำกับอย่างชัดเจนนัก
พวกฝรั่งก็เรียกดินแดนแห่งนี้ไม่ต่างไปจากแขกพราหมณ์ หรือเจ๊กจีน จดหมายเหตุฝรั่งชิ้นเก่าแก่สุดที่อ้างถึงดินแดนที่มีชื่อตรงกับสุวรรณภูมิคือตำราภูมิศาสตร์ “Cosmographia” (Cosmography) เขียนโดยปอมโปนิอุส เมลา (Pomponius Mela) นักภูมิศาสตร์ชาวโรมันเชื้อสายสเปนตอนใต้ เมื่อราว พ.ศ.586 ระบุไว้ว่า “Chryse” หรือ “แผ่นดินทอง” ตั้งอยู่ทางตะวันออกของอินเดีย
แถมพวกฝรั่งเองก็มีทัศนะต่อแผ่นดินทองไม่ต่างไปจากพวกพราหมณ์อินเดีย คือเชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งความมั่งคั่ง หนังสือ Antiquitates Judaicae (Antiquities of the Jews) ของฟลาวิอุส โจเซฟุส (Flavius Josephus) นักประวัติศาสตร์ชาวโรมัน ที่เขียนขึ้นราว พ.ศ.636-637 ถึงกับอ้างว่า “แผ่นดินทอง” ก็คือ “Ophir” เมืองแห่งขุมทรัพย์บรรณาการของกษัตริย์โซโลมอนตามข้อความในพระคัมภีร์ (Bible แปลตรงตัวว่า พระคัมภีร์) ส่วนพันธสัญญาเดิม (Old Testament) เลยทีเดียว
เรื่องราวของแผ่นดินทองยังมีลักษณะที่ถูกทำให้โรแมนติกในโลกตะวันตกอยู่อีก ดังเช่น เอกสารที่ชื่อว่า Periplus Maris Erythraei (Periplus of The Erythrean Sea คือบันทึกการเดินเรือในทะเลเอรีเธรียน ซึ่งมีความหมายตรงตัวว่า “ทะเลแดง” แต่ทะเลแดงในความหมายของกรีกยุคโน้น ได้หมายรวมถึงอ่าวเปอร์เซีย และมหาสมุทรอินเดียเอาไว้ด้วย) ซึ่งเขียนขึ้นโดยนักเดินเรือชาวกรีกเลือดผสมอียิปต์ ในช่วงราว พ.ศ.600 ได้ให้ข้อมูลเอาไว้ว่า “แผ่นดินทองเป็นดินแดนแห่งสุดท้ายที่มีผู้คนอาศัยอยู่ทางทิศตะวันออกไกลสุดของโลก ณ บริเวณที่ตะวันขึ้น”
ดังนั้น ถ้าใครในยุคโน้นจะเชื่อว่า ที่แผ่นดินทองตรงขอบโลกทางทิศที่ตะวันขึ้น มีขุมทรัพย์ของกษัตริย์โซโลมอนอยู่ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่พิลึกอะไรนัก
แน่นอนว่า อุษาคเนย์ไม่ใช่ดินแดนที่อยู่ทางตะวันออกสุดของโลกหรอกนะครับ แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ยังจำกัดอยู่ในสมัยนั้น ทำให้พวกฝรั่งเข้าใจผิดอะไรอยู่หลายอย่าง อย่างเช่นใน Cosmographia ของเมลา ก็ยังเข้าใจว่า สุวรรณภูมิเป็น “เกาะ” เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม Periplus Maris Erythraei ก็ยังเป็นหลักฐานข้างฝ่ายโลกตะวันตก ที่ให้ภาพของอุษาคเนย์ที่น่าสนใจที่สุดในแง่ของภาพชีวิตที่ถูกบรรยายเอาไว้ในเอกสารชิ้นนี้
ในเอกสารชิ้นดังกล่าวได้อ้างว่า อย่างน้อยตั้งแต่เมื่อราว พ.ศ.500 เป็นต้นมา ในเขตมหาสมุทรอินเดีย จากช่องแคบโมซัมบิก (ช่องแคบระหว่างประเทศโมซัมบิก ในแอฟริกาตะวันออก กับเกาะมาดากัสการ์) ถึงอุษาคเนย์ ได้เกิดมี “ชุมชนชาวน้ำ” ที่มีกลุ่มอาชีพที่มีลักษณะเฉพาะ
อันประกอบไปด้วยกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประมงประเภทต่างๆ และอาชีพอื่นที่สัมพันธ์กับการประมง กะลาสีเรือ ช่างฝีมือ พ่อค้า เจ้าของเรือ
แต่ละชุมชนเลี้ยงตัวเองได้ ขณะที่พ่อค้าจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มภาคีหรือสมาคมพ่อค้า การรวมตัวของบรรดาสมาชิกสมาคมดังกล่าวล้วนแต่ตัดข้ามพรมแดนของชุมชน แต่กลับยึดโยงให้อาณาบริเวณต่างน่านน้ำติดต่อถึงกัน
เมื่อเกิดการค้าขึ้นก็ต้องมีบริเวณแหล่งตรงกลางสำหรับเป็นที่แลกเปลี่ยนชุมชนหรือเป็นเมืองท่า สำหรับในอินเดีย ร่องรอยหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดีล้วนแสดงให้เห็นว่า การค้าขายแลกเปลี่ยนในมหาสมุทรอินเดียเริ่มต้นจากการสร้างความเชื่อมโยงทางทะเลชายฝั่ง โดยเฉพาะทะเลด้านตะวันตกของอินเดีย
ควรเข้าใจด้วยนะครับว่า ในพื้นทะเลที่โปร่งโล่ง ความเข้าใจเรื่องลมมรสุมประจำฤดูกาลเป็นเรื่องที่สำคัญเอามากๆ ใน Periplus Maris Erythraei ยังได้อ้างด้วยว่า ในช่วงปลายศตวรรษของ พ.ศ.500 ชาวโรมันเชื้อสายกรีกคนหนึ่งชื่อ ฮิบปาลุส (Hippalus) ได้ค้นพบกระแสลมมรสุมที่พัดตรงไปมาระหว่าง ทะเลแดง กับชมพูทวีป ในช่วงฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูร้อน ลมมรสุมที่ว่าภายหลังเรียกชื่อว่า “ลมมรสุมฮิบปาลุส” เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบ
การค้นพบดังกล่าวก่อให้เกิดการเดินเรือตัดข้ามมหาสมุทร เป็นผลให้การค้าโลกขยายตัวขนานใหญ่ พ่อค้าสามารถเดินทางค้าขายระยะไกลได้สะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เส้นทางการค้าที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือ เส้นทางการค้าระหว่างโลกตะวันตก และชมพูทวีป
ด้วยเงื่อนไขเช่นนี้ พ่อค้ายุคแรกๆ ที่เข้าสู่มหาสมุทรอินเดียด้านตะวันตก จึงมักจะเป็นชาวเปอร์เซีย (อิหร่าน) ชาวอาหรับ และชนพื้นเมืองแห่งคาบสมุทรอาระเบีย ชาวพื้นเมืองแอฟริกาตะวันออก กลุ่มคนเหล่านี้ได้เดินทางทำการค้าขายต่อเนื่องมายังโลก ทางทิศตะวันออกที่ไกลออกไปคือ สุวรรณภูมิ
หลักฐานว่าหากต้องการเดินเรือจากฝั่งตะวันออกของชมพูทวีปไปยังสุวรรณภูมิ จะต้องโดยสารเรือแล่นเลียบชายฝั่งไป โดยจะต้องไปเปลี่ยนขึ้นเรือที่แหลมทางตอนใต้สุดของชมพูทวีป ดินแดนในปริมณฑลอำนาจของพวก “ทมิฬ”
ข้อมูลใน Periplus Maris Erythraei ยังสอดคล้องกับหลักฐานในหนังสือ “ฮั่นซู” จดหมายเหตุสมัยราชวงศ์ฮั่น ที่เขียนขึ้นในช่วงเวลาที่ไม่ห่างกันนัก กล่าวถึงการเดินเรือไปอินเดียว่า ออกเรือจาก “เมืองเหอผู่” ในมณฑลกวางตุ้ง เลียบชายฝั่งเวียดนามเข้าอ่าวไทย แล้วขึ้นบกออกเดินไปต่อเรือที่อีกฟากหนึ่งในทะเลอันดามัน
ดังนั้น บรรดา “ชาวน้ำ” ที่ถูกอ้างอยู่ใน Periplus Maris Erythraei จึงย่อมมีบทบาทสำคัญในการเดินเรือมาสู่ “สุวรรณภูมิ” หรือ “อุษาคเนย์” ในช่วงก่อน พ.ศ.1000 เพราะการเดินทางมายังภูมิภาคแห่งนี้ เป็นการเดินเรือเลียบชายฝั่งนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ในยุคหลัง พ.ศ.1000 การเดินเรือในพื้นที่อ่าวเบงกอล ก็ดูจะเปลี่ยนแปลงไปมาก เพราะมีหลักฐานว่า ไม่ใช่การเดินเรือเลียบชายฝั่งเหมือนก่อนหน้า แต่เป็นการเดินเลยตัดข้ามคาบสมุทร ซึ่งจำเป็นต้องมีความรู้และประสบการณ์เรื่องลมมรสุม
ก็อย่างเดียวกันกับการพบลมมรสุมฮิบปาลุส นั่นแหละครับ
หลักฐานเก่าแก่ที่สุดเท่าที่ผมค้นได้เกี่ยวกับการเดินเรือตัดข้ามคาบสมุทรในอ่าวเบงกอล อยู่ในบันทึกของหลวงจีนอี้จิง
โดยเมื่อ พ.ศ.1216 อี้จิงจึงได้เดินทางต่อไปยังชมพูทวีป คืออินเดีย ระหว่างทางท่านได้บันทึกว่าได้แวะพักที่ “เกาะคนเปลือย” ซึ่งก็คือหมู่เกาะนิโคบาร์ ซึ่งตั้งอยู่ที่กลางอ่าวเบงกอล ก่อนจะมุ่งตรงไปยังเมืองตามรลิปติ (อ่านว่า ตาม-ระ-ลิ-ปะ-ติ) อันเป็นเมืองท่าสำคัญที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำคงคา ในประเทศอินเดีย
ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เรือของหลวงจีนรูปนี้ไม่ต้องเสียเวลาไปเดินเลียบชายฝั่งเหมือนยุคก่อนหน้า แต่ได้เดินตัดข้ามคาบสมุทร โดยมีหมู่เกาะนิโคบาร์เป็นจุดแวะพักเติมน้ำท่า และเสบียง แหล่งสำคัญ
ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า มีการค้นพบลมมรสุมที่ใช้สำหรับการเดินเรือตัดข้ามคาบสมุทรในอ่าวเบงกอลเมื่อไหร่แน่ แต่เทคโนโลยีการเดินเรือตัดข้ามคาบสมุทรนี้ สัมพันธ์อยู่กับช่วงเวลาที่ศาสนาและวัฒนธรรมจากชมพูทวีปแพร่กระจายเข้ามาในอุษาคเนย์ในช่วงหลัง พ.ศ.1000 ไม่ต่างไปจากที่เทคโนโลยี และสินค้าต่างๆ จากโลกตะวันตกได้แพร่หลายเข้ามาในอินเดียมากขึ้นหลังพบลมมรสุมฮิบปาลุสในช่วงหลัง พ.ศ.500
ดังนั้น เทคโนโลยีการเดินเรือข้ามคาบสมุทรในอ่าวเบงกอล จึงสัมพันธ์อยู่กับการเข้ามาของตัวอักษร ภาษา วัฒนธรรม ศาสนา ฯลฯ จากอินเดีย ในภูมิภาคอุษาคเนย์อย่างมีนัยยะสำคัญ พร้อมกับที่ได้นำเอาภูมิภาคอุษาคเนย์ออกจากความเป็นสุวรรณภูมิ ในปรัมปราคติ