ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 สิงหาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | สิ่งแวดล้อม |
ผู้เขียน | ทวีศักดิ์ บุตรตัน |
เผยแพร่ |
ผ่านไปหลายวันแล้ว แต่ควันหลงในวันแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่นี้ยังมีอยู่ ทั้งในเรื่องของแนวนโยบายที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเขียนให้ดูหรูไว้ แต่ทำได้จริงหรือเปล่า รวมถึงนักการเมืองหน้าใหม่ที่อภิปรายในรัฐสภาอย่างสร้างสรรค์
“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ เป็นคนหนึ่งที่ใครได้ฟังการอภิปรายแล้วต้องชื่นชมอย่างแน่นอน
ลีลาการพูดต่างกับนักการเมืองเก่าๆ ซึ่งเอาแต่เหน็บแนม เสียดสี ประชดประชัน
ตรงข้ามที่ “พิธา” นำเสนอข้อมูล การยกเหตุผลมาอธิบายแนวคิดและทางแก้ไขด้านการเกษตรอย่างมีจังหวะจะโคนตรงประเด็น
“พิธา” ยกตัวอย่างกลุ่มเกษตรกรในจังหวัดสกลนคร ที่รวมตัวปลูกข้าวด้วยวิธีเกษตรอินทรีย์ ส่งไปขายต่างประเทศในราคาสูง สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ยกระดับคุณภาพชีวิต
แต่มีเกษตรกรอีกจำนวนมากไม่สามารถทำอย่างเกษตรกรในจังหวัดสกลนครได้ เพราะมีปัญหาซึ่งเปรียบเสมือนกระดุม 5 เม็ด
กระดุมเม็ดแรก เกษตรกรไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง จึงไม่สามารถเข้าสู่ระบบการเงินได้ ต้องไปกู้เงินนอกระบบซึ่งเป็นกระดุมเม็ดที่ 2
การกู้เงินมาลงทุนเท่ากับการเพิ่มต้นทุน เป็นเงื่อนปมบีบให้เกษตรกรต้องคุมการเพาะปลูกรูปแบบเดิมๆ เช่น ปลูกพืชเชิงเดี่ยว
และเพื่อให้มีผลผลิตตรงตามเวลา ก็ใส่ปุ๋ยเคมี เร่งให้ผลผลิตมีคุณภาพจะได้นำไปขายเอาเงินไปใช้หนี้คืน
การใช้สารเคมีของเกษตรกรเปรียบเสมือนกระดุมเม็ดที่ 3
ทุกวันนี้เกษตรกรมีรายได้ประมาณ 57,000 ต่อปี เฉลี่ยเดือนละ 4,000 กว่าบาท
กว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของเกษตรกรมีหนี้สินมากกว่า 2 เท่าครึ่ง และต้องเสียดอกเบี้ย 20% ต่อเดือน
นี่คือความเหลื่อมล้ำ คุณพิธาบอกว่า ต่อให้พักหนี้เกษตรกรก็ไม่เปลี่ยนแปลงเพราะจะกลับมาเป็นหนี้อีก
“เมื่อก่อนในน้ำมีปลาในนามีข้าว แต่ทุกวันนี้ในน้ำมียา ในนามีหนี้”
“พิธา” เสนอทางออกเรื่องการกู้เงินในระบบของเกษตรกรซึ่งไม่มีที่ดินทำกินของตัวเองด้วยการนำข้อมูลสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น สถิติการใช้น้ำประปา การใช้ไฟฟ้าของเกษตรกรมาประเมินผลปล่อยเงินกู้
เป็นทางเลือกในการแก้ปัญหาเงินกู้นอกระบบ
ผลจากต้นทุนการผลิตสูง ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เกษตรกรจึงไม่มีเวลาไปคิดสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ไม่มีเงินไปแปรรูปผลผลิต ซึ่งเป็นกระดุมเม็ดที่ 4 และไม่สามารถพัฒนาตัวเองไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ เช่น เกษตรท่องเที่ยว เป็นกระดุมเม็ดที่ 5
“พิธา” สรุปปัญหาหลักของเกษตรกรไทยคือ “ที่ดิน”
ที่ดิน 90% ครอบครองด้วยคน 10%
ชาวนา 45% ยังต้องเช่าที่ดินอยู่
ที่ดิน มีความกระจุกตัว เหลื่อมล้ำ ไม่ชอบธรรมด้านกฎหมาย
ท้ายสุดการอภิปรายของ “พิธา” ปลุกกระแสสังคมให้เห็นว่าการกลัดกระดุมโดยเฉพาะเม็ดที่ 1 ให้ถูกเป็นเรื่องสำคัญ
คราวนี้หันกลับมาดูแนวนโยบายรัฐบาลที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชี้แจงต่อรัฐสภา
เป็นนโยบายหลัก 12 ด้าน และนโยบายเร่งด่วน 12 เรื่อง
ขอคัดเฉพาะนโยบายที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและการแก้ไขปัญหาโลกร้อน แม้ดูเหมือนเป็นการเขียนลอยๆ ฟุ้งๆ ขาดความชัดเจนในกรอบเวลาและไม่มีการคาดหวังผลลัพธ์ แต่ต้องขอนำมาบันทึกไว้ตรงนี้เพื่อเฝ้าติดตามดูว่า รัฐบาลจะทำได้จริงหรือไม่มากน้อยแค่ไหน
ในนโยบายหลักที่ว่าด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทย รัฐบาลบอกว่าจะพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว
ใช้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาพัฒนาต่อยอด สร้างมูลค่าเพิ่มในการผลิตสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมและบริการท้องถิ่น ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน
บริหารจัดการของเสียอุตสาหกรรมและขยะแบบคลัสเตอร์ ระหว่างชุมชนและอุตสาหกรรมในแต่ละพื้นที่ ลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งให้ความสำคัญทางด้านสิ่งแวดล้อมในระดับประเทศและระหว่างประเทศ
ส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร ยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ใช้ประโยชน์จากฐานความหลากหลายทางชีวภาพ ลดละเลิกใช้ปราบศัตรูพืช จัดหาสารทดแทนที่มีประสิทธิภาพ
นโยบายด้านการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและการรักษาสิ่งแวดล้อม รัฐบาลต้องการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน มีการแบ่งซอยย่อยออกเป็น 8 หัวข้อ
ในเรื่องของการปกป้องรักษาฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า เน้นการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้
สร้างสมดุล ปรับปรุงระบบที่ดินทำกิน ลดความเหลื่อมล้ำการถือครองที่ดิน
ส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ แหล่งน้ำชุมชนและทะเล เชื่อมโยงกับแผนบริหารจัดการน้ำ 20 ปีของประเทศ
ด้านการสร้างความมั่นคงของฐานทรัพยากรแร่ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เพื่อการพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
รัฐบาลย้ำว่าจะคำนึงถึงดุลยภาพทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน
การดูแลรักษาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จะใช้แผนที่การจำแนกเขตทางทะเลและชายฝั่ง ทำผังให้ชัดเจน กำหนดพื้นที่พัฒนา ให้ประชาชนมีส่วนร่วมและสอดคล้องกับภูมิศาสตร์
จะรักษาแนวปะการังที่สำคัญต่อการท่องเที่ยว รักษาป่าชายเลนและแหล่งทะเลที่สำคัญต่อการประมง
ด้านการแก้ปัญหาก๊าซเรือนกระจกและผลกระทบกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รัฐบาลจะมุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สร้างสังคมคาร์บอนต่ำและปลอดฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน
จะใช้มาตรการคุมการเผาพื้นที่เพาะปลูก ปรับปรุงการบริหารจัดการภัยพิบัติทั้งระบบ สร้างความรู้ความเข้าใจของประชาชนในการรับมือและปรับตัวเพื่อลดความเสียหายจากภัยธรรมชาติและผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สนับสนุนการลงทุนในโครงการสร้างพื้นฐานของภาครัฐและเอกชนที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ
ปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไทยเข้าร่วมและให้สัตยาบันไว้
ในด้านการพัฒนาระบบการจัดสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ
รัฐบาลจะนำความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม อาทิ การจัดการขยะของเสีย เพื่อนำไปใช้ในกระบวนการผลิตหรือบริโภคที่หลากหลาย
พัฒนากลไกแก้ไขความขัดแย้งด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะทำระบบการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์มาใช้เป็นเครื่องมือเชิงนโยบายในการเพิ่มขีดความสามารถในการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมกันของภาคส่วนต่างๆ ในสังคม นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ลดความขัดแย้ง
ในข้อสุดท้ายของนโยบายหลักการฟื้นฟูทรัพยากรและการรักษาสิ่งแวดล้อมรัฐบาลแถลงว่า จะแก้ไขปัญหาการจัดการขยะและของเสียอย่างเป็นระบบ เริ่มจากการส่งเสริมและให้ความรู้ด้านการลดปริมาณขยะในภาคครัวเรือนและธุรกิจ การนำกลับมาใช้ซ้ำ
การคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง เพื่อลดปริมาณและต้นทุนในการจัดการขยะของเมืองและนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ได้โดยง่าย รวมทั้งพัฒนาโรงงานกำจัดขยะและของเสียอันตรายที่ได้มาตรฐาน
ส่วนนโยบายเร่งด่วน รัฐบาลจัดเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย ตั้งแต่การป้องกัน การให้ความช่วยเหลือและการแก้ไขปัญหาระยะยาว จัดระบบติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง และกำหนดมาตรการที่เหมาะสมเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ได้มากที่สุดและทันท่วงที รวมทั้งพัฒนาการปฏิบัติการฝนหลวงให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ทั้งหมดนี้เป็นคำแถลงด้านสิ่งแวดล้อมและการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในยุคเปลี่ยนผ่านจากรัฐประหารสู่ระบอบประชาธิปไตย