ต่างประเทศ : เรื่องสยองของศูนย์รับบริจาคร่าง สร้างรายได้มหาศาลจากศพ

กลายเป็นเรื่องสุดสยอง หลังจากมีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับคดีการฟ้องร้องศูนย์รับบริจาคร่างมนุษย์ “ไบโอโลจิคอล รีซอร์ส เซ็นเตอร์” หรือบีอาร์ซี ในเมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา ที่ถูกตรวจสอบพบว่ามีการนำร่างที่ได้รับการบริจาคไปใช้ในทางมิชอบ

โดยพบว่ามีการนำชิ้นส่วนมนุษย์ไปเย็บเป็นร่างรวมกันไว้ เหมือนกับ “แฟรงเกนสไตน์”

เรื่องดังกล่าวกลายเป็นข่าวครึกโครมขึ้นมาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังมีผู้เสียหาย 33 ราย ยื่นเรื่องฟ้องคดีแพ่งต่อบีอาร์ซี ที่เชื่อว่านำร่างของผู้เสียชีวิตที่ญาติบริจาคให้ไปใช้ในทางมิชอบ

ทั้งที่วัตถุประสงค์ในการบริจาคร่างก็เพื่อการวิจัยรักษาโรคหรือเพื่อการบริจาคอวัยวะ และมีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการฟ้องร้องดังกล่าวออกมาต่อสาธารณะ

ศูนย์บีอาร์ซีนี้เป็นของนายสตีเฟ่น กอร์ ที่ปัจจุบันอายุ 52 ปี ซึ่งถูกสั่งปิดไปตั้งแต่ปี 2014 หลังจากมีเจ้าหน้าที่ของสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) ของสหรัฐอเมริกาได้บุกเข้าไปในศูนย์และพบชิ้นส่วนมนุษย์มากมาย ก่อนที่ศูนย์แห่งนี้จะถูกปิดในปีต่อมา

เนื่องจากพบหลักฐานว่ามีการขายชิ้นส่วนมนุษย์ที่รับบริจาคมา เพื่อประโยชน์ของตัวเอง

 

รอยเตอร์สรายงานว่า ในการบุกเข้าไปของเจ้าหน้าที่เมื่อปี 2014 พบชิ้นส่วนมนุษย์กว่า 1,755 ชิ้น ภายในบีอาร์ซี และนำออกมาใส่ไว้ในถุงได้ 142 ถุง น้ำหนักรวมราว 10 ตัน

ในคำให้การของนายมาร์ก ควีนาร์ อดีตเจ้าหน้าที่พิเศษของเอฟบีไอ ที่ปรากฏในคำฟ้องครั้งใหม่ ได้อธิบายถึงสภาพภายในศูนย์รับบริจาคร่างที่เมืองฟีนิกซ์เอาไว้ว่า เขาพบหัวของผู้หญิงที่ถูกเย็บติดไว้กับร่างของผู้ชายร่างหนึ่ง และถูกแขวนเอาไว้ที่กำแพง เหมือนกับ “แฟรงเกนสไตน์”

นอกจากนี้ ควีนาร์ยังพบตู้แช่แข็ง ที่ภายในมีทั้งอวัยวะเพศชาย หัว แขนและขาของมนุษย์ ที่ไม่มีการติดป้ายระบุว่าเป็นชิ้นส่วนของใครเอาไว้ ขณะที่พื้นของตู้แช่แข็งก็เต็มไปด้วยเลือดและของเหลวจากร่างกายของมนุษย์

นิวยอร์กโพสต์รายงานว่า กระบวนการของบีอาร์ซีคือ เมื่อมีผู้ประสงค์จะบริจาคศพ ทางบีอาร์ซีก็จะไปรับร่างของผู้เสียชีวิตจากที่บ้านของผู้เสียชีวิต หลังจากนั้นก็จะนำชิ้นส่วนไปขายให้แก่พ่อค้าคนกลางเพื่อหากำไรต่อไป

โดยร่างของผู้เสียชีวิตจะถูกตัดเป็นชิ้นๆ โดยใช้เลื่อยและเครื่องมือต่างๆ ที่ไม่ใช่เครื่องมือทางการแพทย์

นอกจากนี้ ภายในศูนย์ยังพบป้ายบอกราคาของชิ้นส่วนอวัยวะมนุษย์ เช่น ร่างท่อนบน ราคา 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ถ้าเป็นร่างทั้งหมดจะอยู่ที่ 5,000-10,000 ดอลลาร์สหรัฐ ลำตัวที่ไม่ได้รับความเสียหายเลย ราคา 2,900 ดอลลาร์สหรัฐ กระดูกสันหลังทั้งหมด 1,900 ดอลลาร์สหรัฐ ขา ต้นขาถึงปลายเท้า 600 ดอลลาร์สหรัฐ เท้า 450 ดอลลาร์สหรัฐ กระดูกเชิงกราน 400 ดอลลาร์สหรัฐ หัวเข่า 375 ดอลลาร์สหรัฐ มือ 175 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนหัวจะอยู่ที่ 500 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าลูกค้าของบีอาร์ซีคือใคร และซื้ออวัยวะมนุษย์เหล่านี้ไปทำอะไร

 

โดยหลังจากที่เจ้าหน้าที่บุกเข้าไปในศูนย์และยึดชิ้นส่วนอวัยวะมนุษย์ต่างๆ เอาไว้ ส่งไปตรวจสอบแล้ว ก็มีการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม กระทั่งเดือนตุลาคม 2015 นายกอร์ เจ้าของบีอาร์ซี ก็ยอมรับว่าทำธุรกิจที่ผิดกฎหมายจริง

โดยรับว่าชิ้นส่วนอวัยวะมนุษย์ที่ได้รับบริจาคมา ไม่ได้ถูกใช้ไปตามที่ผู้บริจาคอนุญาต

ที่สุดแล้วกอร์ถูกศาลตัดสินจำคุก 1 ปี และให้คุมประพฤติอีก 4 ปี โดยโทษจำคุกให้ประวิงเวลาไว้ จนกว่าจะชดใช้โทษคุมประพฤติครบ 4 ปี และบังคับให้จ่ายเงินชดเชยแก่เหยื่อเป็นเงิน 121,000 ดอลลาร์สหรัฐ

ตามรายงานของเอซี เซ็นทรัล อ้างคำกล่าวของกอร์ ระบุว่า “ผมควรจะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการในการบริจาคให้มากกว่านี้ในโบรชัวร์ที่แจกจ่ายให้ประชาชนได้รับรู้”

 

สําหรับตัวนายกอร์เองนั้น แต่งงานแล้ว มีลูกสาว 2 คน และลูกชาย 1 คน จบการศึกษาสูงสุดระดับมัธยม และไม่มีใบอนุญาตให้ประกอบการเกี่ยวกับการบริจาคร่างกายแต่อย่างใด มีเพียงใบอนุญาตขายประกันของบริษัท กอร์ แอนด์แอสโซซิเอตส์ อินชัวแรนซ์ เซอร์วิสเซส ในรัฐฟลอริดาเท่านั้น

ขณะที่เว็บไซต์เอบีซี15ดอตคอม รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของหญิงรายหนึ่ง ที่เคยเป็นพนักงานของศูนย์บริจาคร่างที่ทำกิจการเหมือนกับบีอาร์ซี เธอให้สัมภาษณ์ไว้ว่า สภาพภายในศูนย์ที่เธอทำงานด้วยก็เหมือนกับโรงเชือด ชิ้นส่วนอวัยวะมนุษย์ถูกร้อยเอาไว้ด้วยกันเหมือนกับตุ๊กตา

ถุงขยะที่ใส่อวัยวะมนุษย์เอาไว้ถูกยัดไว้ในตู้แช่แข็งโดยไม่มีการห่อใดๆ ไม่มีการติดแท็ก ไม่มีการติดป้ายรายละเอียด ไม่มีการระบุตัวตนใดๆ

หญิงรายนี้ยังบอกด้วยว่า ศพแต่ละศพที่ได้รับการบริจาคมา สามารถสร้างกำไรได้ถึง 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยศูนย์ที่เธอทำงานด้วย มีผู้บริจาคศพให้ถึงเดือนละราว 50 ศพ และศูนย์บริจาคยังมีสาขาอยู่เมืองอื่นๆ อีกหลายรัฐ ที่ได้รับศพจากการบริจาคอีกรวมๆ ราว 80 ศพต่อเดือน

เรื่องราวของความโหดร้ายในการนำร่างผู้เสียชีวิตที่ญาติตั้งใจจะบริจาคไปให้เกิดประโยชน์ แต่กลับถูกนำไปหาผลประโยชน์ใส่ตัวเอง สร้างความสะเทือนใจให้แก่บรรดาผู้ที่บริจาคร่างของญาติตัวเองให้แก่ศูนย์เหล่านี้อย่างยากที่จะหาคำพูดมาบรรยาย

และเชื่อได้ว่า น่าจะมีอีกหลายแห่งที่หาประโยชน์จากศพที่ได้รับการบริจาคมาเช่นเดียวกัน