แมลงวันในไร่ส้ม /ข่าวร้อนๆ จากรัฐสภา ตัดเกรด ‘แถลงนโยบาย’ เมื่อ ‘บิ๊กตู่’ ต้อง ‘ปรับตัว’

แมลงวันในไร่ส้ม

ข่าวร้อนๆ จากรัฐสภา

ตัดเกรด ‘แถลงนโยบาย’

เมื่อ ‘บิ๊กตู่’ ต้อง ‘ปรับตัว’

การแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา 25-27 กรกฎาคมที่ผ่านมา เป็นข่าวใหญ่ในสื่อต่างๆ มาจนกระทั่งบัดนี้

ที่จับตากันมาได้แก่ บทบาทของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จากนายกฯ ในรัฐบาล คสช. มาสู่นายกฯ ในระบบพรรคการเมือง

การที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องมาประชุมร่วมกับ ส.ส.ที่มาจากเลือกตั้ง เกือบครึ่งของสภาผู้แทนฯ คือฝ่ายค้าน ซึ่งในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ประกาศไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์

ในการทำหน้าที่นายกฯ ในรัฐบาล คสช. เป็นเวลา 5 ปี จะพบว่า พล.อ.ประยุทธ์มีบุคลิกใจร้อน และชอบที่จะโต้ตอบเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับ ส.ส.ฝ่ายค้าน จึงคาดหมายว่าอุณหภูมิจะต้องร้อนฉ่า

แล้วก็ไม่เกินความคาดหมาย

 

นอกจากการถ่ายทอดสดทางวิทยุทีวี เว็บไซต์ และไลฟ์สตรีมมิ่งในเฟซบุ๊ก สื่อต่างๆ ทั้งออนไลน์และสิ่งพิมพ์ รายงานตรงกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ปักหลักชี้แจงและตอบโต้การอภิปรายของฝ่ายค้านโดยตลอด

วันแรก ในเวลา 20.00 น. เกิดการปะทะที่เป็นข่าวใหญ่ในวันรุ่งขึ้น เมื่อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย อภิปรายถาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ว่า นาฬิกายืมเพื่อนมาคืนยัง จากนั้นระบุว่า ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา เกิดการ “โกงเลือกตั้ง”

ท่ามกลางเสียงประท้วงและคำเตือนจากผู้ทำหน้าที่ประธานการประชุม พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์สรุปว่า ถ้าเป็นผม ไม่หน้าด้านเป็นต่อหรอก

พล.อ.ประยุทธ์ลุกขึ้นพูดด้วยท่าทีฉุนเฉียวว่า ผมทนฟังมานานแล้วนะครับ ผมกับท่านรู้จักกันมานานแล้วนะครับ แต่งงานก็วันเดียวกัน สมรสพระราชทานมาด้วยกัน เป็นรุ่นพี่ผม แต่วันนี้ถือว่าไม่เป็นรุ่นพี่ผม เพราะท่านไม่ให้เกียรติ ท่านบอกว่าจะชักปืนยิงผมตั้งแต่วันโน้น ถ้าท่านชักปืนยิงวันนั้นท่านก็ติดคุก เหรียญรามาฯ ท่านได้ ผมก็ได้แต่ผมไม่เคยคุย ไม่เคยไปแอบอ้าง ผลงานต่างๆ ผมมีมากมาย พูดจาหยาบคายอวดอ้างอำนาจ ท่านไปทบทวนของท่านเอง ขอบคุณครับ สวัสดีครับ

บรรยากาศตึงเครียดทำให้นายพรเพชร วิชิตชลชัย ผู้ทำหน้าที่ประธานสั่งพักการประชุม 10 นาที และเมื่อกลับมาประชุม ได้ขอให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ออกจากห้องประชุม หลังจากไม่ยอมถอนคำว่า “หน้าด้าน”

ส่วนในวันที่ 26 กรกฎาคม เกิดรายการปะทะระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ที่หยิบยกเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างของกระทรวงมหาดไทย และการประมูลท่าเรือแหลมฉบัง พล.อ.ประยุทธ์ลุกขึ้นจะออกจากห้องประชุม แล้วนายยุทธพงศ์ทักท้วง

เรื่องลุกลามเมื่อ ส.ว. 2 คนลุกมาร่วมวงประท้วง เกิดการโต้ตอบกันว่า “ขี้ข้าโจร” กับ “เลียรองเท้าทหารเข้ามา” ทำเอาฝ่าย ส.ว.เดือดจัดถึงขนาดท้าชก

ยังมีการโต้ตอบประปรายหลังจากนั้น การอภิปรายดำเนินไปจนกระทั่งยุติเมื่อ 03.33 น.ของเช้าวันใหม่ 27 กรกฎาคม รวมแล้ว  34 ชั่วโมง

 

ภายหลังการอภิปราย วันที่ 28 กรกฎาคม สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่อง เปรียบเทียบความพึงพอใจของประชาชน ต่อการแถลงนโยบายรัฐบาล ระหว่างวันแรกและวันที่สอง

พบว่า ประชาชนได้ประโยชน์จากการแถลงนโยบายรัฐบาลในวันที่สองเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 27.2 ในวันแรก เป็นร้อยละ 55.8 ในวันที่สอง ในขณะที่คนที่ระบุไม่ได้ประโยชน์ลดลงจากร้อยละ 72.8 ในวันแรก เหลือร้อยละ 44.2 ในวันที่สอง ตามลำดับ

และยังระบุว่า 5 อันดับดาวสภา คนรุ่นใหม่ ขวัญใจประชาชนในการอภิปรายแถลงนโยบายรัฐบาล เป็นผู้อภิปรายของพรรคอนาคตใหม่ 3 อันดับรวด ได้แก่ อันดับที่ 1 หรือร้อยละ 16.3 ระบุ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พรรคอนาคตใหม่ อันดับที่สอง หรือร้อยละ 13.1 ระบุ นายปิยบุตร แสงกนกกุล พรรคอนาคตใหม่ อันดับที่สาม หรือร้อยละ 11.3 ระบุ น.ส.พรรณิการ์ วานิช พรรคอนาคตใหม่เช่นกัน

อันดับ 4 ร้อยละ 5.3 ระบุ นายวัน อยู่บำรุง พรรคเพื่อไทย และร้อยละ 2.9 ระบุ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ พรรคพลังประชารัฐ ตามลำดับ

สำหรับนายพิธาอภิปรายปัญหาเรื่องการเกษตร และได้รับคำชมเชยจากฝ่ายรัฐบาลหลายคนด้วยกัน ส่วนนายปิยบุตรได้หยิบยกปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะในเรื่องกฎหมายและการเมือง รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

น.ส.พรรณิการ์อภิปรายนโยบายต่างประเทศ และเรื่องสิทธิมนุษยชน และเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ชี้แจง โดยเรียกเป็น “คนสวย” น.ส.พรรณิการ์ได้ประท้วงให้นายกฯ ถอนคำพูด ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ได้ถอนไป

นายวันอภิปรายเรื่องคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี ซึ่งทำให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ต้องลุกขึ้นมาชี้แจง

ส่วน น.ส.ปารีณา บทบาทส่วนมากจะเป็นการประท้วง ส.ส.ฝ่ายค้าน

ทางด้านรัฐบาล พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ได้รับคำชมเชยว่าชี้แจงต่อที่ประชุมด้วยน้ำเสียงสุภาพและใจเย็น

 

ภายหลังการอภิปราย ยังมีการให้คะแนนรัฐบาลกับฝ่ายค้านว่าใครสอบผ่าน-สอบตก

ทิศทางความเห็นส่วนมากเห็นว่ารัฐบาลไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี มีปัญหาเรื่องการควบคุมอารมณ์ และความเข้าใจในกฎกติกาการประชุมสภา

สำนักข่าวไทยรายงานความเห็นของนายยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำสาขาวิชาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ว่า การอภิปรายยังมีการพูดพาดพิงเรื่องความชอบธรรมของ คสช. ที่มาของ ส.ว. ที่มาของรัฐบาล และองค์กรอิสระ โดยเฉพาะคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี มากกว่าตัวนโยบาย

การทำหน้าที่ของ ส.ส. และ ส.ว. ยังมีจุดยืนทางการเมืองของตนเองที่ชัดเจน โดย ส.ส.ฝ่ายค้านพยายามชี้ให้เห็นความไม่ชอบธรรมทางการเมืองของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี รวมถึงความล้มเหลวในการทำงาน 5 ปีของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา

ขณะที่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลก็ทำหน้าที่เป็นองครักษ์พิทักษ์รัฐบาล และมี ส.ว.ที่ถูกวิจารณ์ว่าเป็น ส.ส.พิเศษให้กับรัฐบาลหรือไม่

สำหรับนายกรัฐมนตรีนั้น ควรปรับเปลี่ยนตัวเอง ระมัดระวังตัวเองให้มากขึ้น โดยเฉพาะวิวาทะกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ซึ่งตามหลักของการประชุมสภา การจะลุกพูดก็ต้องได้รับการอนุญาตจากประธานสภา

ส่วนหนึ่งเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ไม่คุ้นชินกับสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ที่มีเล่ห์เหลี่ยมทางการเมือง ทางกฎหมาย การยั่วยุทางอารมณ์ หลากหลายรูปแบบที่ไม่สามารถคาดเดาทิศทางได้ ต่างจากสมัยเป็น สนช.

นายยุทธพรยังกล่าวถึงการทำหน้าที่ของนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ว่า ลีลาการทำหน้าที่ ความเก๋าเกมทางการเมืองถือว่าเอาอยู่ ที่น่ากังวล คือการทำหน้าที่ของนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา (ส.ว.) ในฐานะรองประธานรัฐสภา ที่ไม่คุ้นชินกับสภาที่มาจากการเลือกตั้ง

นั่นคือภาพรวมและผลของการแถลงนโยบาย หลังจากนี้ รัฐบาลใหม่ต้องลงมือทำงาน โดยขับเคลื่อนไปพร้อมกับสภาผู้แทนฯ ซึ่งน่าสนใจว่า รัฐบาลจะปรับตัวให้ทำงานกับสภาได้เร็ว หรือมากน้อยแค่ไหน