ภาพยนตร์ /นพมาส แววหงส์/THE HUMMINGBIRD PROJECT

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์

THE HUMMINGBIRD PROJECT

‘โลกหมุนเร็ว’

กำกับการแสดง Kim Nguyen

นำแสดง Jesse Eisenberg Alexander Skargard Salma HayekMichael Mando

 

เราพูดกันว่าโลกหมุนเร็วขึ้น

แต่ความหมายจริงๆ คือสิ่งต่างๆ ในโลกเปลี่ยนไปเร็วขึ้น เวลาดูจะผ่านไปอย่างรวดเร็วขึ้น เพราะมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นตรงหน้ามากมาย

โลกปัจจุบันจึงแข่งขันกันด้วยความเร็ว

…ใครจะไปถึงก่อนใคร…

…ใครจะรับรู้ข้อมูลได้ไวกว่า

…ใครจะเชื่อมต่อข้อมูลได้ทันใจกว่า…

…ใครจะตัดสินใจความแม่นยำได้รวดเร็วกว่า

ฯลฯ

พูดด้วยอุปมา โลกของเทคโนโลยีสารสนเทศรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ แต่เป็นอุปมาเท่านั้นเพราะตามกฎฟิสิกส์ไม่มีอะไรเร็วไปกว่าความเร็วแสง และสายฟ้าแลบมีความเร็วเท่ากับความเร็วแสง

และเรายังรู้สึกว่าสัญญาณโทรคมนาคมผ่านดาวเทียมนั้นยังไม่ได้ข้ามโลกมาได้ทันทีทันควัน เห็นได้จากการสัมภาษณ์ผ่านดาวเทียมที่สองฝ่ายยังต้องรอสัญญาณกันอยู่สักอึดใจ ก่อนจะพูดจากันรู้เรื่อง

และด้วยอุปมา โลกของไอทีย่อขนาดของโลกให้เล็กลง ย่นเวลาให้สื่อสารกันข้ามผ่านระยะทางอันเคยเป็นอุปสรรคขวากหนามได้ในชั่วพริบตา

ผลก็คือทำให้โลกของเศรษฐกิจการค้าเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก ระยะทางถูกร่นเข้ามาให้สื่อสารกันได้เพียงลัดนิ้วมือ ข้อได้เปรียบของการได้รู้ข่าวสารข้อมูลเร็วกว่าคนอื่นย่อมสร้างผลกำไรมหาศาลให้แก่ผู้ครองเทคโนโลยีที่ย่นระยะเวลาการสื่อสารให้เหลือน้อยที่สุด

โดยรวมหนังเรื่องนี้ให้ความรู้สึกว่าจะมีคำโปรยว่า “สร้างจากเรื่องจริง” อยู่ตรงไหนสักแห่ง

 

แต่ก็ไม่มีปรากฏอยู่ที่ไหนสักแห่ง

ตามปกติหนังที่สร้างจากเรื่องจริงที่เหลือเชื่อก็จะต้องปิดท้ายด้วยข้อความท้ายเรื่องว่าคนโน้นคนนี้เป็นอย่างไรในชีวิตจริง หรือว่าเอาภาพของบุคคลจริงมาเปรียบเทียบให้ดูกับภาพนักแสดงที่เล่นบทคนนั้นๆ แต่หนังจบแล้วก็จบไปเฉยๆ ไม่ได้แก้สงสัยด้วยการบอกตอนจบของบุคคลจริงให้เรารู้

เนื่องจากว่านี่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการล้วนๆ ของผู้กำกับฯ ชาวแคนาดาเชื้อสายเวียดนาม ซึ่งเป็นผู้เขียนบทด้วย โดยไม่มีบุคคลหรือเหตุการณ์จริงมาอ้างอิง

ส่วนหนึ่งคงเป็นความรู้สึกที่ติดมากับตัวนักแสดงนำคือเจสซี ไอเซนเบิร์ก ซึ่งรับบทประมาณเดียวกับ The Social Network ที่เป็นเรื่องราวของผู้ริเริ่มเฟซบุ๊กที่ขยายเครือข่ายครอบคลุมไปทั่วโลกแบบรั้งไม่หยุดในปัจจุบัน

และอีกส่วนคงเป็นเพราะเรื่องราวเหลือเชื่อของคนสติเฟื่องที่คิดทำอะไรหลุดโลกขนาดนี้น่าจะต้องมีความจริงสนับสนุนอยู่บ้างละ

 

เรื่องของเรื่องคือหนุ่มสมองใสสองคนซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน และทำงานอยู่ในแวดวงการค้าแบบที่มีความถี่สูง (high frequency trading) ที่ส่งข้อมูลไปทั่วโลกแบบเร็วทันใจ กำลังมองหาข้อได้เปรียบทางการค้าจากการเพิ่มความเร็วของการส่งข้อมูลจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน (ท้องเรื่องของหนังวางไว้ใน ค.ศ.2011)

วินเซนต์ ซาเลสกี้ (เจสซี ไอเซนเบิร์ก) เป็นผู้มีวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่และกว้างไกล เขาเป็นทั้งนักบุกเบิก นักวางแผนและนักบริหารที่คล่องรอบตัว พูดจาโน้มน้าวใจกล่อมคนได้แบบที่เรียกว่าพูดให้ลิงหลับก็ได้

ส่วนแอนทอน ซาเลสกี้ (อเล็กซานเดอร์ สการ์กอร์ด) เป็นอัจฉริยะทางการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่มีนิสัยตรงข้ามกับวินเซนต์แบบคนละขั้ว ชอบหมกตัวอยู่ตามลำพังในโลกของตัวเอง กลัวสังคม กลัวการบิน หวาดระแวงไปหมดทุกเรื่อง

วินเซนต์ หรือวินนี่ กล่อมนักลงทุนรายใหญ่ให้มาลงทุนกับการวางสายเคเบิลไฟเบอร์ออปติกใต้ดินระยะทางยาวถึงหนึ่งพันไมล์ ตัดตรงระหว่างแคนซัสกับนิวเจอร์ซีย์ เพื่อตัดหน้าการพัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้สัญญาณเหนือผิวโลกของบริษัทที่ตัวเองทำงานให้ ซึ่งมีบิ๊กบอสเป็นหญิงแกร่งขาลุย เอวา ทอร์เรส (ซัลมา ฮาเย็ก)

และให้แอนทอนลาออกจากงานที่บริษัท เพื่อมาพัฒนาโปรแกรมที่จะเพิ่มความเร็วของการส่งข้อมูลจากเดิม 16 มิลลิเซกันด์ เหลือเพียง 15 มิลลิเซกันด์

ใช่แล้วค่ะ มิลลิเซกันด์ คือเสี้ยวหนึ่งในพันของวินาที เข็มวินาทีที่ติ๊กไปทีหนึ่งก็ว่าเร็วแล้วก็ยังเร็วไม่พอ ในโลกปัจจุบันของการซื้อขายหุ้นเก็งกำไรและการค้าทางเทคโนโลยีดิจิตอลนั้นความเร็วในการสื่อสารที่เพิ่มขึ้นเพียงหนึ่งในพันของวินาทีนี้ จะกลายเป็นผลกำไรมหาศาลให้แก่บริษัทได้

 

ชื่อหนังที่เรียกว่า “โครงการนกฮัมมิงเบิร์ด” นี้ มาจากความเร็วในการกระพือปีกบินของนกฮัมมิงเบิร์ดตัวกระจิริดในการกระพือปีกบินหนึ่งครั้ง ซึ่งอยู่ที่ระหว่าง 50-200 ครั้งต่อวินาที แปลว่านกฮัมมิงเบิร์ดขยับปีกบินได้ว่องไวยิ่งกว่าคำว่า “พริบตาเดียว” (เปลือกตามนุษย์ที่กะพริบหนึ่งหน) เสียอีก

สมมติฐานของเรื่องเป็นความฝันอันสูงสุด ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ที่สุด เพราะต้องเจาะท่อใต้ผิวโลกลงไปหกฟุต ตัดเป็นเส้นตรงแหน็วไม่มียึกยักคดเคี้ยวหรืออ้อมไปอ้อมมา ไม่ว่าจะต้องลอดภูเขา ลอดแม่น้ำ บ้านเรือน ไร่นาป่าเขา หรืออุทยานแห่งชาติใดๆ

และโครงการต้องแข่งกับเวลา โดยจำกัดตัวเองให้ดำเนินการสร้างให้เสร็จภายในระยะสามเดือน เนื่องจากการแข่งขันทางการค้า และการรักษาความลับทางอุตสาหกรรม ซึ่งถ้าคู่แข่งล่วงรู้ก่อนก็จะไหวตัวทัน

ซัลมา ฮาเย็ก มาในมาดของนักธุรกิจหญิงที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ชนะคู่ต่อสู้ ไม่ว่าจะจ้างนักสืบติดตามดู จ่ายเงินเดือนสูงลิ่วแก่พนักงานเป็นแรงจูงใจให้ทำงานสำเร็จ หรือกลั่นแกล้งคู่ต่อสู้โดยการปรักปรำให้โดนเอฟบีไอจับกุมคุมขังและส่งฟ้อง เป็นต้น

เจสซี ไอเซนเบิร์ก มาในบทหนุ่มเนิร์ด พูดจาคล่องแคล่ว คิดเร็วทำเร็ว ตามแบบที่เราคุ้นเคยกันแล้วจาก Social Network

ที่แปลกตาและน่าแปลกใจคือ อเล็กซานเดอร์ สการ์กอร์ด ซึ่งทิ้งมาดแวมไพร์พระเอกรูปหล่อใน True Blood ทาร์ซานใน The Legend of Tarzan และล่าสุดคือหนุ่มใหญ่ชาวเยอรมันใน The Aftermath ซึ่งเล่นคู่กับเคียรา ไนต์ลีย์

มาเป็นอัจฉริยะทางคอมพิวเตอร์ผู้หวั่นไหวกับทุกสิ่งรอบตัวในชีวิตที่อยู่เหนือการควบคุมของตัวเอง รวมทั้งการเดินทางโดยเครื่องบิน แถมยังทิ้งรูปลักษณ์พระเอกหล่อมาเป็นหนุ่มใหญ่หัวเถิก ที่หมกตัวเองอยู่กับการคิดหาทางลดความเร็วในการเดินทางของตัวไฟเบอร์ออปติกเพียงแค่หนึ่งเสี้ยววินาที

พอเขาทำได้ในที่สุด เขาก็มีท่าเต้นบอกความดีใจที่เป็นเอกลักษณ์อันน่าจดจำของหนังเรื่องนี้มาก

 

ประเด็นแท้จริงของหนังอยู่ที่ความขัดแย้งของความสุขที่จะหาได้จากการที่โลกหมุนเร็วขึ้นนี่เอง

ในท่ามกลางการแข่งขันเอาเป็นเอาตายของโลกธุรกิจที่ผู้ชนะคือผู้ที่ไปถึงที่นั่นก่อนใครอื่น ว่องไวรวดเร็วที่สุด และอยู่ในตำแหน่งหน้าที่สุด ความฝันของสองหนุ่มอยู่ที่การหาเงินให้ได้มากพอที่จะใช้ชีวิต “สโลว์ไลฟ์” อยู่กันเงียบๆ ตกปลา ใช้ชีวิตอยู่ในธรรมชาติกับครอบครัวโดยไม่ต้องวิ่งแข่งกับใครอีก

หนังแทรกประเด็นนี้มาเป็นอุปสรรคขัดขวางการดำเนินการขุดเจาะท่อไฟเบอร์ออปติกใต้ดิน ซึ่งต้องตัดตรงผ่านที่ดินของพวกอามิช

พวกอามิชเป็นชาวคริสต์ที่ยึดมั่นในขนบประเพณีดั้งเดิม และไม่ยอมเปลี่ยนวิถีชีวิตไปตามโลกสมัยใหม่ พวกเขาใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่กับธรรมชาติ ใช้เครื่องนุ่งห่มเพียงเพื่อหุ้มห่อร่างกาย และไม่ยินดีกับการใช้ความสะดวกสบายของชีวิตที่มาจากเทคโนโลยีสมัยใหม่

เงินทองไม่มีความหมายสำหรับคนพวกนี้ ตรงข้ามด้วยซ้ำ พวกเขาไม่ต้องการเงินทองมากมายมาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่อยู่กับธรรมชาติของพวกเขา

เมื่อโครงการไปเจอเข้ากับที่ดินของพวกอามิชขวางหน้าอยู่ วินนี่จึงใช้เงินเข้าง้างไม่ได้ ไม่ว่าจะให้ผลตอบแทนสูงสักเท่าไร

แต่เมื่อถึงที่สุดของที่สุดแล้ว วินนี่กับแอนทอนก็เกิดความเข้าใจในวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของคนพวกนี้

คำถามก็คือในโลกที่หมุนเร็วขนาดนี้ จริงๆ แล้วคนเราต้องการอะไรในชีวิตเล่า