คำ ผกา | อ้างว้าง

คำ ผกา

ข่าวว่ามีการยื่นยุบพรรคอนาคตใหม่ และข่าวนี้ก็ทำให้ฉันถอนหายใจอีก

ในโลกนี้ประวัติศาสตร์การยุบพรรคการเมืองเกิดขึ้นน้อยมาก และเกิดกับกรณีคอขาดบาดตายจริงๆ

เช่น พรรคการเมืองนั้นมีแนวคิดสุดโต่งหัวรุนแรง มีแนวโน้มจะทำให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การสังหารหมู่ หรือทำให้เกิดไปแล้ว เช่น พรรคนาซีของเยอรมัน

ปัจจุบันถ้าใครตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาโดยจะสืบทอดเจตนารมณ์ของพรรคนาซีก็คงต้องถูกยุบ

พูดง่ายๆ คือ การยุบพรรคการมืองจะเกิดขึ้นได้เมื่อพิสูจน์แล้วว่า พรรคการเมืองนั้นจะนำมาซึ่งการทำลายล้างชีวิตของมนุษยชาติ

แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้นในบางประเทศ เช่น ในกัมพูชา การยุบพรรคการเมืองเกิดขึ้นกับพรรคฝ่ายค้าน อันทำให้ถูกตีความได้ว่า การยุบพรรคเป็นเพียงเครื่องมือทำลายคู่แข่งทางการเมือง

ส่วนประเทศไทย การออกกฎหมายยุบพรรคการเมืองนั้นมาจากเจตนารมณ์ใดนั้นฉันไม่ขอเดา

แต่แรงสนับสนุนจากสังคม จากประชาชน จากภาคประชาสังคมนั้นมาจากแนวคิดที่เชื่อว่าประชาธิปไตยที่ดีคือประชาธิปไตย “ปลอดเชื้อ”

คนไทยโดยเฉพาะชนชั้นกลางที่มีการศึกษาเห็นว่าประชาธิปไตยจะถูกสุขอนามัย จะดีต่อประเทศชาติก็เมื่อมันถูกนำไปผ่านกระบวนการพาสเจอไรซ์เสียก่อน

ถ้าประชาธิปไตยยังดิบ ยังไม่ผ่านกระบวนการพาสเจอไรซ์ สังคมไทย คนไทย ก็อย่ารีบร้อนไปเสพประชาธิปไตยเลย มันจะเสาะท้อง

หนักกว่านั้น เดี๋ยวโรคห่าจะกินเอา

กระบวนการพาสเจอไรซ์ประชาธิปไตยที่คนกลุ่มนี้เชื่อคือ ต้องสร้างสิ่งที่เรียกว่า “ธรรมาภิบาล”

เชื้อโรคของประชาธิปไตยที่คนกลุ่มนี้ต้องการกำจัดคือ การคอร์รัปชั่น, นักการเมืองเลว และพรรคการเมืองที่เอาแต่ได้ เอาแต่พรรคพวก มาเล่นการเมืองเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ให้ตัวเอง ญาติมิตร ลูกสมุนแลบริวารกันทั้งนั้น

แม้แต่พรรคอนาคตใหม่ที่กำลังเป็นเหยื่อแนวคิดนี้ก็ยังติดกับดักแนวคิดเองเสียด้วย

ดังจะได้ยินจากคำสัมภาษณ์ของคนระดับนำในพรรคอยู่เสมอเรื่องเราจะสร้างการเมืองใหม่

เราจะเลิกระบบการเมืองแบบเก่าที่อาศัยเครือข่าย เครือญาติ หัวคะแนน และการซื้อเสียง บลา บลา บลา

เมื่อสังคมเห็นว่าประชาธิปไตยที่ดีต้องขาวจั๊วะและปลอดเชื้อ

จึงพากันสนับสนุนการตั้งองค์กรอิสระมาตรวจสอบนักการเมือง โดยลืมไปโดยสิ้นเชิงว่า แล้วใครจะมาตรวจสอบองค์กรอิสระฟะ?

ไม่เพียงแต่มีองค์กรอิสระเยอะแยะ ยุ่บยั่บ ยังมีการออกกฎหมายยิบย่อยชนิดที่นักการเมืองต้องปลอดเชื้อ ขาวจั๊วะมาก ไม่ว่าจะเป็นการห้ามถือหุ้นสื่อ ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินกันละเอียดยิบ

ในแบบที่ถ้าลืมยื่นหนี้บัตรเครดิตสักแสนบาทก็อาจมีความผิดถึงขั้นตัดสิทธิการเมืองกันเป็นสิบปี

ต้องกำหนดให้ผู้สมัคร ส.ส.จบปริญญาตรีขึ้นไป ต้องยื่นค่าใช้จ่ายในการหาเสียง ต้องชี้แจง แจกแจงเรื่องเงินเรื่องทองกันชนิดที่กระดิกตัวไม่ได้เลย

อ้าว ไม่ดีเหรอ? ฟังดูดีจะตายไป มีกฎแบบนี้ เราจะได้มีแต่นักการเมืองที่ปราศจากผลประโยชน์ทับซ้อน และมีความปรารถนาดีต่อบ้านเมืองจริงๆ มาทำงาน ไม่ใช่เข้ามาทำงานการเมืองเพราะหวังผลประโยชน์

ใช่ มันฟังดูดี แต่ฉันถามกลับไปว่า ตั้งแต่เรามีกฎหมายเหล่านี้ ประชาธิปไตยและการเมืองไทย มันใสสะอาดปราศจากคราบสกปรกใดๆ แล้วจริงหรือไม่?

ทุกวันนี้เรื่องงานเลี้ยงโต๊ะจีนพรรคพลังประชารัฐ มีอะไรเกิดขึ้นแล้วหรือยัง?

ทุกวันนี้นาฬิกายืมเพื่อนไม่ผิดใช่ไหม?

ทุกวันนี้มีผู้สมัคร ส.ส.ถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้ลงสมัครเพราะถือหุ้นสื่อไปแล้วจำนวนหนึ่ง แต่มีอีกจำนวนหนึ่งได้เป็น ส.ส. และยังปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ตามปกติ

คำถามคือ ในคดีเดียวกัน คล้ายกัน ผลการตรวจสอบ ตัดสิน และลงโทษ ออกมาไม่เหมือนกัน

แล้วก็ไม่มีใครทำอะไรได้

เพราะอำนาจเหล่านั้นอยู่ในองคาพยพที่พ้นไปจากการตรวจสอบของประชาชนโดยสิ้นเชิง

ดังนั้น การออกกฎหมายยิบย่อย หันซ้ายนิดก็ผิด หันขวาหน่อยก็ผิด

เหล่านี้กลายเป็นอุปสรรคในการทำงานของนักการเมืองและพรรคการเมืองจำนวนหนึ่ง

ขณะเดียวกันก็ไม่ส่งผลใดๆ ต่อ “นักการเมือง” หรือบุคคลทางการเมืองอีกกลุ่ม ท้ายที่สุดจึงไม่แน่ใจว่า กฎระเบียบยิบย่อยเหล่านี้มีไว้เพื่อสะสางความโสมมของนักการเมือง หรือมีไว้เพื่อการอื่นกันแน่?

ผลกระทบที่ลึกซึ้งที่สุดคือ กฎหมายที่อ้างว่าออกมาเพื่อจำกัดความโสมมในการเมืองไทยนั้น ทำให้สถาบันพรรคการเมืองอ่อนแอ นักการเมืองอ่อนแอ

และนั่นแปลว่า ประชาชนย่อมถูกทำให้อ่อนแอตามไปด้วย เพราะทั้งพรรคการเมืองและนักการเมืองคือเครื่องมือการใช้อำนาจของประชาชน

ถ้าหากสังคมการเมืองประชาธิปไตยหมายถึงการปกครองที่ทำให้อำนาจของประชาชนเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ย่อมไม่มีที่ไหนในโลกที่จะยอมให้มีกฎหมายยุบพรรคการเมือง

กฎหมายยุบพรรคการเมืองจึงไม่ต่างอะไรจากการเผาบ้านทั้งหลังเพื่อฆ่าหนูตัวเดียว อันคนมีปัญญาย่อมไม่ทำเช่นนั้นและไม่ยอมให้ใครมาทำเช่นนั้น

ในหลายประเทศที่สังคมไทยแหงนคอตั้งบ่ามองเขาเป็นโรลโมเดล เป็นแบบอย่างของประเทศที่พัฒนาแล้ว มีระดับการคอร์รัปชั่นต่ำ มีความโปร่งใสทางการเมืองสูง นักการเมืองไม่คดไม่โกง

ไม่ว่าจะเป็นหลายๆ ประเทศในยุโรป หรือญี่ปุ่น

ก็ไม่เห็นว่าจะมีประเทศไหนใช้วิธีการยุบพรรคเพื่อสั่งสอนนักการเมืองเลยแม้แต่ประเทศเดียว

การคอร์รัปชั่นที่ต่ำและนักการเมืองสุจริตล้วนได้มาด้วยวิธีการอันเรียบง่ายทั้งนั้นคือ ปล่อยให้ฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ทำงานถ่วงดุลกัน

เสริมด้วยเสรีภาพของสื่อ เสรีภาพของประชาชนในการวิพากษ์วิจารณ์ ตรวจสอบ ด่าทอนักการเมือง บุคคลสาธารณะได้อย่างปราศจากข้อยกเว้น

อีกทั้งต้องเพิ่มกฎหมายที่ลดอำนาจรัฐและเพิ่มอำนาจประชาชน เช่น กฎหมายการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ หรือที่เรียกกันว่า open data

เว็บไซต์ของหน่วยงานราชการต้องเป็นพื้นที่เผยข้อมูลทุกอย่างออกมาให้ประชาชนรับรู้ได้มากที่สุด

และประชาชนต้องสามารถเข้าไปตรวจสอบการทำงาน ขอดูเอกสาร รายงานการประชุม งบประมาณ ขั้นตอนการประมูล การให้สัมปทาน ฯลฯ ต่างๆ ได้ทั้งหมดอย่างง่ายดาย

open data คือการทำให้การทำงานของรัฐและหน่วยราชการทำงานในห้องกระจกใส ที่ประชาชนเห็นทุกอย่าง รู้ทุกแง่มุม ปิดบังไม่ได้ ต่อให้มีงบฯ ลับ ก็ต้องรู้ว่า ลับเท่าไหร่ ใครอนุมัติ

เรียบง่ายกว่านั้น ประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ การทุจริตต่ำ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรามีการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง ไม่มีรัฐประหารมาขัดจังหวะการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน

คาถาแก้คอร์รัปชั่น และการสร้างประชาธิปไตยมีแค่นี้

คนไทยต้องเลิกเชื่อว่าจะมีประชาธิปไตยที่ดีและสะอาดได้มีวิธีเดียวคือจับนักการเมืองไปลวกน้ำร้อน

เพราะหากทำอย่างนั้น สิ่งที่เราสูญเสียไปเลยคือสูญเสียประชาธิปไตย

เพราะคนที่อาสาเข้ามาจับนักการเมืองไปลวกน้ำร้อนนั้น เขาไม่ได้ลวกแต่นักการเมือง แต่เขายึดอำนาจจากเราไปเลย แล้วนั่งบริหารประเทศชาติไปยาวๆ โดยที่เราไม่มีโอกาสจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองอีกต่อไป

ทีนี้แหละ เขาจะทำอะไร จะแต่งตั้งใคร จะใช้งบฯ ยังไง จะให้สัมปทานใคร ใครจะประมูลได้อะไรไป

จะเอาเงินไปซื้ออะไร เป็นประโยชน์กับประชาชนหรือไม่ – เราก็ได้แค่ทำตาปริบๆ เป็นที่น่าเวทนา โกรธมากก็ทำได้ ตีอกชกตัวเอง แล้วก้มหน้าก้มตามีชีวิตไปอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว

เศรษฐกิจไม่ดี เงินไม่พอใช้ เขาก็ออกมาบอกให้เราเลิกกินหรู กินประหยัด หัดออมเงิน คิดถึงอนาคต

สรุปแล้ว ความจนของประชาชน เป็นความผิดของประชาชนเองนะจ๊ะ รัฐไม่เกี่ยว พวกมึงฟุ่มเฟือยเอง ใช้เงินไม่เป็นเอง เอะอะจะมาให้รัฐช่วย ทำไมไม่ช่วยตัวเองก่อนล่ะ แหม คนไทยนี่นิสัยเสียจริงเชียว ชอบให้รัฐช่วยจนเคยตัว

ขึ้นค่าแรงหรือ ปั๊ดโธ่ ถ้าขึ้น นายทุนก็หนี ปิดโรงงานกันหมดซี่ อยากให้เขาแจ๊งแล้วพวกเอ็งตกงานเหรอ?

ค่าแรงแค่นี้แหละ พอแล้ว ดีกว่าไม่มีงานทำ

ลดภาษีเงินได้ – อร้าย ไม่เคยพูด บ้าหรือเปล่า ทำไม่ได้หรอก – เคยพูดตอนหาเสียง – หะ อะไรนะ ไม่เคยพูดๆ

ประชาธิปไตยนั้นเป็นหนทางการบริหารอำนาจที่ทำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศได้ประโยชน์ แต่อาจทำให้การแสวงหาผลประโยชน์ของคนกลุ่มน้อยทำได้ยากขึ้น

ดังนั้น จึงมีความพยายามอยู่เสมอจากคนกลุ่มน้อยที่ไม่อยากเห็นประชาธิปไตยเต็มใบเกิดขึ้น

ทั้งนี้ คนกลุ่มน้อยก็รู้ว่า ลำพังพวกเขาไม่อาจสกัดกั้นการเติบโตของประชาธิปไตยได้ เพราะประชาชนได้ประโยชน์เห็นๆ ดังนั้น คนกลุ่มนี้จึงต้องแสวงหาแนวร่วมจากประชาชนด้วยเช่นกัน

วิธีที่พวกเขาจะได้แนวร่วมคือ ความพยายามที่จะบอกว่า เราชอบประชาธิปไตยนะ ประชาธิปไตยมันดีนะ แต่ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบที่เราเป็นอยู่ตอนนี้

ประชาธิปไตยที่เราเป็นอยู่ตอนนี้มันอยู่ในกำมือของนักการเมืองชั่ว และคนจนที่โง่

เป็นเหยื่อของนักการเมืองชั่วโดยรู้เท่าไม่ถึงการ

คนเหล่านี้ไม่ได้ลุกขึ้นมาทำรัฐประหารในทันใด

พวกเขาคอยถักทอเรื่องราวให้เราเห็นพรรคการเมืองและนักการเมืองเป็นปีศาจ

พวกเขาทำให้เราลืมว่าประชาธิปไตยคือ “ปฏิบัติการทางการเมือง” ที่ต้องทำ ฝึกฝน และมีชีวิตอยู่กับมัน แล้วหาทางทำให้มันเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย

แต่กลุ่มคนที่อยากทำหมันตัดตอนประชาธิปไตย ทำให้เราเชื่อว่า ประชาธิปไตย ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปฉีกซองออกมาแล้วกินเลย ดีเลย อร่อยเลย

พวกเขาเริ่มต้นด้วยการทำให้คำว่าผลประโยชน์เป็นคำหยาบคาย ความขัดแย้งเป็นคำหยาบคาย พวกเขาทำให้เราเข้าใจผิดว่า คนที่มาทำงานการเมืองต้องปลอดซึ่งผลประโยชน์ – ซึ่งไม่จริง

นักการเมืองและพรรคการเมืองก่อตั้งขึ้นมาด้วยแพชชั่นหรือแรงกิเลสของคนที่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงของสังคม

แต่พรรคการเมืองย่อมเป็นพื้นที่ของคนที่มีผลประโยชน์อันหลากหลาย และเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พรรคการเมืองย่อมเป็นพื้นที่ของทั้งคนดี คนชั่ว คนโลภ คนขี้เกียจ คนขี้โกง คนเจ้าเล่ห์

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งเดียวที่พรรคการเมืองต้องการคือ “อำนาจ”

และ “อำนาจ” นี้จะได้มาก็ด้วยหนทางเดียวเท่านั้นคือ ทำงานให้เข้าตาประชาชนผู้เป็นเสียงสวรรค์ ผู้ชี้เป็นชี้ตายอนาคตของพรรคการเมือง

พรรคการเมืองบางพรรคอาจใช้วิธีสะอาด บางพรรคใช้วิธีสกปรก บางพรรคเป็นสีเทาๆ บางพรรคเปี่ยมอุดมการณ์ – เหล่านี้คือส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย

และสุดท้าย ประชาชนจะเลือก, เรียนรู้จากความผิดพลาด, เลือกใหม่, ถูกหลอกใหม่, เลือกใหม่, ถูกหลอกอีก – ฟาดฟัน ต่อสู้กันทางความคิด – นักการเมืองฝ่ายแพ้ต้องทำงานหนักกว่าเดิม, พิสูจน์ตัวเอง, เลือกใหม่

ทุกพรรคการเมืองพยายามบริหารความเลวนานาในพรรคให้สมดุลกับผลประโยชน์ของประชาชนที่เป็นฐานเสียงเพื่อจะรักษาอำนาจต่อไป

นึกออกไหม นี่คือวิธีที่ประชาธิปไตยทำงาน

ไม่มีสังคมไหนหรอกที่เป็นพระศรีอาริย์กันมาตั้งแต่เกิด มีประชาธิปไตยปุ๊บก็ผุดผ่องปลอดมลทินกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก

ทุกวันนี้ก็ไม่มีสังคมประชาธิปไตยที่เพอร์เฟ็กต์ ไร้ที่ติ ทุกสังคมต่างก็เผชิญกับความระยำตำบอนในแบบต่างๆ กันออกไป แต่ที่ยังอยู่เหมือนกันหมดคือ

อำนาจของการเลือกยังเป็นของประชาชน, พรรคการเมืองยังอยู่

นักการเมืองไม่ต้องถูกจับติดคุกเพราะมีนโยบายช่วยชาวนาแต่รัฐขาดทุน หรืออะไรทำนองนั้น

พูดง่ายๆ ว่า ความระยำต่างๆ ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยนั้น เราสามารถลากและตามหาคนมารับผิดชอบได้, เปลี่ยนได้, ขับเคลื่อนให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้

ตรงกันข้ามกับการปกครองด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่ประชาชนไม่ได้เป็นเจ้าของชะตากรรมของตัวเองอีกต่อไป

ฉันไม่รู้ว่ามันสายเกินไปแล้วหรือยังสำหรับสังคมไทย หลังจากที่เรามีประชาธิปไตยเต็มใบ แล้วเราก็ถูกหลอกว่า ประชาธิปไตยมันแย่จริงๆ เลย นักการเมืองมันเลวจริงๆ เลย เราต้องมีกฎหมายมามัดมือมัดตีนนักการเมืองเยอะๆ แต่กลับกลายเป็นว่ากระบวนการออกกฎหมายเยอะๆ มามัดมือมัดตีนนักการเมืองนั้นได้ทำการมัดตราสังประชาธิปไตยไปด้วย

เขายุบพรรค เขาตัดสิทธินักการเมือง เขาบั่นทอนกลไก เครื่องไม้เครื่องมือของระบอบประชาธิปไตยเสีย สุดท้าย เขาทำให้ประชาชนมองเห็นแต่ทางตัน แล้วประชาชนกลุ่มหนึ่งก็อ้อนวอนกองทัพว่า มาช่วยประเทศชาติหน่อยเถอะ ช่วยมารัฐประหาร แล้วปฏิรูปประเทศ นับหนึ่งกันใหม่นะ

จนถึงวันนี้ นับจากปี 2535 ที่เราเรียกร้องประชาธิปไตยกันแทบตาย สิ่งที่ได้คือ การรัฐประหารถึงสองครั้ง และการจองจำอำนาจของประชาชนที่ฝังไว้ในตัวบทกฎหมายไปเรียบร้อย จนแทบจะมองไม่เห็นทางออก

และจนถึงวันที่พรรคการเมืองอาจถูกยุบได้เป็นว่าเล่น

บอกเลยว่า ฉันไม่เคยรู้สึกอ้างว้างเท่านี้มาก่อน