มุกดา สุวรรณชาติ : อนาคตใหม่ ยิ่งยุบ ยิ่งขยาย

มุกดา สุวรรณชาติ

ทำไมต้องมีคนกังวลเรื่อง
ยุบพรรคอนาคตใหม่

ความมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองให้เป็นแบบประชาธิปไตย สามารถเปลี่ยนไปได้เพียงแค่เป็นอำมาตยาธิปไตย

เวลา 72 ปี ตั้งแต่รัฐประหาร พ.ศ.2490 ก็มีการปกครองที่ต่อเนื่องยาวนาน

เริ่มจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม ต่อด้วยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ สืบทอดสู่ยุคจอมพลถนอม กิตติขจร-จอมพลประภาส จารุเสถียร และจบภาค 1 ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516

และก็มาฟื้นตัวอีกครั้งในรูปแบบของประชาธิปไตยครึ่งใบตามแบบ เปรมโมเดล 8 ปี ช่วงเวลาที่ประชาธิปไตยเดินตามระบบมีตั้งแต่ 2535 หลังพฤษภาทมิฬ จนถึงรัฐประหาร 2549 ประมาณ 14 ปี

อํามาตยาธิปไตยในยุคก่อนใช้การรัฐประหารล้วนๆ แล้วเข้ากุมอำนาจ การยุบพรรคการเมืองเป็นไปตามประกาศของคณะรัฐประหาร และมักจะยุบทุกพรรค

เมื่อโลกไม่ยอมรับ จึงมีการเปลี่ยนแปลงทางยุทธวิธี ให้เห็นว่าจำเป็นต้องทำรัฐประหาร เพราะบ้านเมืองจะวุ่นวาย

จะเห็นได้จากการรัฐประหาร 2549 และ 2557 ที่การชิงอำนาจรัฐต้องใช้ทุกรูปแบบ ทุกองค์กร ไม่เคารพหลักการและกฎหมายใดๆ

มีทั้งการต่อต้านการเลือกตั้ง ป่วนสภา เกมม็อบบนถนน ใช้สื่อ ใช้องค์กรอิสระ ตุลาการภิวัฒน์ ยุบพรรคการเมือง ตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารไม่ให้ลงเลือกตั้ง และใช้กำลังยึดอำนาจ ใช้การปราบประชาชนเพื่อรักษาอำนาจ ใช้การร่างรัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจ

นับเป็นการพัฒนายุทธวิธีการชิงอำนาจของอำมาตยาธิปไตย นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง

หลัง 2549 การต่อสู้เพื่อชิงอำนาจรัฐก็กลายมาเป็นการต่อสู้ระหว่างกลุ่มที่ใช้วิธีการเลือกตั้งสู้กับกลุ่มที่ใช้ทุกวิธีการ ต่อเนื่องมายาวนานถึง 13 ปี

สถานการณ์ปัจจุบันมิได้ดีกว่า 10 ปีที่แล้ว เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 ถูกออกแบบให้ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยสากล คนธรรมดาเป็นนายกฯ ไม่ได้ เพราะไม่มี ส.ว.หนุน แต่ไปเอื้อกับระบบอำมาตยาธิปไตย

ตัวอย่างการยุบพรรคไทยรักไทย จึงตามมาหลอกหลอนประชาชนว่า ขนาดไทยรักไทยมี ส.ส.สองร้อยกว่า เป็นรัฐบาลด้วยยังไม่รอด ถ้ามีคนต้องการสลายกำลังพรรคการเมืองคู่แข่งให้สิ้นซากไป เพราะไม่ต้องการให้เติบโต และไม่อยากใช้เสียงประชาชนตัดสิน อนาคตใหม่คงเสร็จแน่

สิ่งที่เพื่อไทยโดน คือโรดแมปของอนาคตใหม่ นี่จึงเป็นเหตุผลของความกังวลว่าพรรคอนาคตใหม่ที่เป็นดาวรุ่งของวงการเมืองไทย จะต้องถูกยุบพรรคหรือไม่?

 

ยิ่งยุบ…ยิ่งขยาย…ยิ่งยืดเยื้อ

หลังจากยุบพรรคไทยรักไทย ความคาดหวังจะปิดเกมง่ายๆ ของกลุ่มอำนาจเก่า ก็ได้สูญสลายลงเพราะไทยรักไทยที่เปลี่ยนชื่อเป็นพลังประชาชนยังได้รับการเลือกตั้งมาเป็นที่หนึ่ง จึงต้องกระทำการตุลาการภิวัฒน์ซ้ำอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนรัฐบาล

เมื่อมีประชาชนออกมาคัดค้าน ก็ถูกปราบจนเสียชีวิตจำนวนมาก ผลก็คือ กองเชียร์ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ตื่นตัวมากขึ้น เข้าร่วมมากขึ้น และมีความเข้าใจเบื้องหน้าเบื้องหลังของเหตุการณ์ต่างๆ เบื้องหลังของบุคคลที่มีบทบาททางการเมือง

การต่อสู้ที่จะจบใน 2 ปีจึงจะยืดยาวไม่รู้จบ

พรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน คือพรรคไทยรักไทยที่ถูกยุบแล้วตั้งใหม่มาถึง 2 รอบ กรรมการถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 2 ครั้งรวม 148 คน ถูกรัฐประหาร 2 ครั้ง ถูกตุลาการภิวัฒน์ ถูกใช้อำนาจจากองค์กรอิสระเล่นงานหลายครั้ง ตามความคาดหวังของฝ่ายที่ต้องการยุบพรรค คิดว่าเมื่อยุบพรรคแล้วการเมืองนั้นจะแตกสลาย ส.ส.และผู้สนับสนุนพรรคนั้นจะต้องแตกกระจัดกระจายไป ฝ่ายตนจะสามารถรวบรวม ส.ส.ให้ย้ายข้างมาเป็นฐานเสียงได้ จนถึงวันนี้ก็ทำไม่สำเร็จ

ถ้าวันนี้มีการยุบพรรคอนาคตใหม่ กองเชียร์อนาคตใหม่ซึ่งเคยตื่นตัวทางการเมืองมาก่อน ก็จะเข้าร่วมกับกองเชียร์คนรุ่นใหม่หลายล้านคน ซึ่งสนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ด้วยการไปลงเลือกตั้ง แล้วก็คิดว่าบทบาทของตนเองคงจบลงแล้ว จากนี้ไปเป็นหน้าที่ของพรรคและ ส.ส.

แต่ถ้าหากมีการยุบพรรคอนาคตใหม่ หรือบีบคั้นด้วยวิธีการใดๆ ก็ตาม การร่วมมือร่วมใจกันต่อสู้ก็จะยิ่งมากขึ้น จะเห็นได้จากการตอบโต้ในเรื่องเสื้อผ้า หน้าผม วัฒนธรรมท้องถิ่น

ยิ่งถ้าเป็นเรื่องยุบพรรค การต่อสู้คงจะดุเดือดกว่านี้ จะสามารถเรียกแขกให้มาเข้าร่วมอีกมากมาย

อย่างที่บอกไว้แล้วว่านี่คือวิธีการเดินเกมแบบลิงแก้แหของกลุ่มอำนาจเก่า ถ้าส่งลิงโง่ๆ มาแก้แหอีกก็จะยิ่งพันกันนัวเนียเข้าไปใหญ่

คราวนี้จะได้เห็นแนวการต่อสู้ที่ขยายไปยังคนหนุ่มคนสาว แน่นอนว่าในยุคนี้ไม่เหมือนยุคก่อนที่มีการใช้อาวุธฆ่ากัน และต้องหนีเข้าป่า จับปืนมาต่อสู้

แต่ยุคนี้อาวุธใหม่คือการสื่อสารที่รวดเร็วรูปแบบต่างๆ สามารถส่งข่าวถึงกันเป็นล้านคนภายในนาทีเดียว และเด็กหนุ่มสาวรุ่นใหม่ก็ถนัดที่จะใช้อาวุธชนิดนี้

การเปิดโปงการแฉเรื่องต่างๆ ที่ไม่ดีไม่งามจะต้องโผล่มาอีกมากมาย

 

อนาคตใหม่ไม่ต้องกลัวการยุบพรรค
แต่ต้องเดินหน้าเต็มกำลัง

เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2561 ก่อนการเลือกตั้ง 1 ปี ทีมวิเคราะห์ได้คาดการณ์ว่า

1. ดูแนวทางการเมืองและรูปแบบของพรรคอนาคตใหม่ ต้องดึงคนหนุ่มสาวที่มีอายุ 18-35 มาสนับสนุนให้มากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อายุถึงแต่ไม่มีโอกาสใช้สิทธิ์เลือกตั้ง หรือใช้แล้วถูกตัดสินว่าเป็นโมฆะ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ถือว่าระยะห่างของการเลือกตั้งคือ 2554-2562 ประมาณ 8 ปี กลุ่มผู้จะมาใช้สิทธิ์ครั้งใหม่อาจเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 5 ล้านคน ถ้ากระแสดี

ถึงวันนี้ก็เป็นจริง และพรรคอนาคตใหม่ก็สามารถดึงเสียงสนับสนุนจากคนกลุ่มนี้มาได้ถึง 2.5 ล้าน เมื่อการต่อสู้ขยายมาถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่

เรามองผ่านพานไหว้ครู มองดูเด็กแชตการบ้านผสมการเมือง เราก็รู้ว่าที่สอนเด็กๆ ไปได้ผลจริงๆ เด็กเชื่อว่าโตไปไม่โกง เด็กจึงต่อต้านคนโกง วันหน้าพวกเขาก็จะมีเสียงทางการเมืองอย่างสมบูรณ์

2. พรรคอนาคตใหม่ได้เตรียมบุคลากรตามโครงสร้างพรรค เพราะตามกฎหมายพรรคการเมืองต้องมีสมาชิกจำนวนหนึ่ง มีตัวแทนในแต่ละจังหวัด ในแต่ละเขตเลือกตั้ง ส่วนผู้ที่เป็นตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ทั้ง ส.ส.เขตและ ส.ส.บัญชีรายชื่อไว้เป็นจำนวนมาก เพราะต้องพยายามส่งให้ครบ 350 เขตเพื่อเก็บคะแนนปาร์ตี้ลิสต์

วันนี้ก็เป็นอย่างนั้น และได้ ส.ส. และคะแนนเสียงเกินคาด เรียกว่าวันนี้มีฐานกระจายไปทั่วประเทศแล้ว หลังการเลือกตั้งท้องถิ่น น่าจะมากขึ้นอีก การลงสนามท้องถิ่นกลายเป็นเรื่องที่ต้องเลือกทำ ให้ได้ประโยชน์สูงสุด

3. เข้าใจว่าพรรคอนาคตใหม่ได้เตรียมการรับสถานการณ์ต่างๆ ไว้พอสมควร ผู้มีประสบการณ์ทางการเมืองเตือนมาว่า ถ้านี่เป็นการแข่งขันต้องถือว่าเป็นเส้นทางวิบากผสมทางเรียบ และในเส้นทางวิบากนั้นบางจุดต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะถ้าตกลงไปแล้ว บางคนอาจจะกลับเข้าสู่การแข่งขันไม่ได้

นับตั้งแต่เริ่มออกเดินก็ถูกต้านแล้ว

ในขณะที่ต้องการคนก้าวหน้าที่กล้าสู้จำนวนมาก การสะสมกำลังในท่ามกลางการต่อสู้จึงยังเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ ยิ่งถ้ามองอนาคตการต่อสู้ไว้ถึง 20 ปี ถึงวันนี้ ในกระแสที่ดี พรรคน่าจะขยายไปได้พอควร

4. ให้เตรียมตั้งรับอุปสรรคและการโจมตีใส่ร้ายป้ายสี ทันทีที่เปิดตัว ตลอดเส้นทาง ยังต้องระวังกับดัก ขวากหนามและหลุมพรางที่จะมีคนสร้างขึ้น ยิ่งเด่นยิ่งดังเสียงดีก็จะเจอแบบที่คิดไม่ถึง

ในยุค 40 กว่าปีที่แล้วไม่เพียงใส่ร้ายป้ายสี ถึงขนาดขว้างระเบิดใส่เวทีหาเสียงก็มี ยิงใส่พรรคก็มี ลอบสังหารผู้นำพรรคก็ทำมาแล้ว

พรรคพลังใหม่และพรรคสังคมนิยมโดนมาแล้วทั้งสิ้น

เมื่อก่อนมีอุปสรรคเรื่องคอมมิวนิสต์มาทาสีแดงใส่แกนนำพรรค โดยพวกอนุรักษนิยมขวาจัด

ถึงยุคนี้ก็เปลี่ยนเป็นข้อกล่าวหาอื่น การเปลี่ยนแปลงสังคมให้ก้าวหน้าจะต้องมีกลุ่มคนความคิดเก่า ความคิดล้าหลัง คนหัวอนุรักษนิยม ผู้เสียผลประโยชน์ทำการขัดขวางและต่อต้านนี่จึงเป็นเรื่องปกติ พรรคอนาคตใหม่แม้ไม่ประกาศว่าเป็นตัวแทนความคิดใหม่ แต่ตอนนี้ได้เป็นไปแล้ว

ความแตกต่างในอดีตกับวันนี้ก็คือในอดีต พรรคใหม่ที่เกิดขึ้นไม่มีโอกาสจะส่งเสียงคัดค้านต่อสู้หรืออธิบายเพราะสื่อสารมวลชนถูกคุมโดยผู้มีอำนาจจนเกือบหมดแต่วันนี้การควบคุมเหล่านี้ไม่ใช่ทำง่าย

 

เปรียบเทียบสถานการณ์สองฝ่าย

เมื่อพรรคไทยรักไทยถูกยุบพรรค 2 ครั้งและยังอยู่มาได้ ได้คะแนนเป็นที่หนึ่งมาตลอด มวลชนแข็งแกร่งขึ้น ก้าวหน้าขึ้น

ในยุคที่ระบบสื่อสารทันสมัยขึ้น ทำไมพรรคอนาคตใหม่จะอยู่ไม่ได้

ฝ่ายตรงข้ามก็แปลงกาย ไม่ใช่แค่เปลี่ยนชื่อ ต้องใช้ขั้นอวตาร แต่มีทั้งจุดอ่อนจุดแข็ง

1. การดำรงอยู่ของระบอบอำมาตยาธิปไตย เมื่ออวตาร ต้องใช้รัฐธรรมนูญแบบประชาธิปไตยครึ่งใบ เป็นเครื่องมือรับรองการเข้าสู่อำนาจ จึงต้องขวางแก้รัฐธรรมนูญ (หรือร่างใหม่) แต่ในฐานะใหม่ อำนาจเด็ดขาดแบบ คสช.ก็ลดลง รัฐธรรมนูญที่มีปัญหาจึงเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนเพราะจะมีคนมารุมแก้ไข

2. การเป็นรัฐบาลผสม จะต้องมีการแบ่งอำนาจและผลประโยชน์ของกลุ่มการเมืองอำนาจเก่าซึ่งมีข้าราชการ อดีตข้าราชการเข้ามาเป็นตัวแทน อีกกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มนักการเมืองที่ผ่านเข้ามาทางระบบเลือกตั้ง สามารถตั้งรัฐบาลผสมมีการแบ่งอำนาจบริหาร ระบบโควต้าในการตั้งรัฐมนตรี ส่วนอำนาจในทางสภาก็อาศัยเสียง ส.ส.ของแต่ละพรรคมาร่วมกันเพื่อที่จะผลักดันกฎหมาย ผลักดันนโยบาย หรือปกป้องรัฐบาลผสมในกรณีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ

แต่ของจริงเสียงปริ่มน้ำ การต่อสู้แย่งชิงจึงไม่มีทางยุติ โอกาสเสียงแตกมีตลอด

3. รัฐบาลมีอำนาจ มีงบประมาณ แก้ปัญหาชาวบ้าน แต่ปัญหาเศรษฐกิจหนักมาก น้ำหมดเขื่อน เงินหมดกระเป๋าชาวบ้าน จะบั่นทอนทั้งผู้ปกครองและประชาชน แต่ในระบอบอำมาตยาธิปไตย ประชาชนมาลำดับหลัง การเรียกร้องของประชาชนจะยิ่งมากขึ้น โดยเฉพาะที่สัญญาไว้ตอนหาเสียง ไม่ว่าจะเป็นค่าแรง ราคาพืชเกษตร ความขัดแย้งจึงเกิดง่ายๆ

4. อำนาจการชี้ถูกชี้ผิด ฝ่ายรัฐบาลยังได้เปรียบ แต่ถ้าทำอะไรก็ไม่ผิด ขัดสายตาประชาชน นี่ก็จะเป็นปัจจัยสะสมความไม่พอใจ และจุดชนวนขึ้นได้ในอนาคต ทั้งยังลามไปยังองค์กรที่เกี่ยวข้อง

แต่ตราบใดที่การรัฐประหาร การขัดขวางการเลือกตั้ง การยึดหน่วยงานของรัฐ ยังไม่ถือว่าผิด คนที่มาจากการเลือกตั้งและใช้สิทธิ์ตามระบอบประชาธิปไตย ก็ไม่ต้องกลัวผิด นี่จะเป็นการพิสูจน์อำนาจตุลาการ ว่าเป็นหนึ่งในสามเสาหลักของระบอบประชาธิปไตยได้หรือไม่

สรุปจากบทเรียนเก่า ไม่ว่าจะยุบ หรือยุบจริง ตอนนี้ก็ถือเป็นการเติมปุ๋ยให้อนาคตใหม่แล้ว

ปัญหาการเดินหน้าของอนาคตใหม่คือ จะสามัคคีแนวร่วมอย่างไร ในขณะขยายฐาน จะสร้างที่มั่นที่แข็งแกร่งได้อย่างไร การชนะได้ ส.ส.เขตยังน้อย การต่อสู้ทางการเมือง ดุเดือด จริงจัง ผู้สนับสนุนไม่ใช่แฟนคลับดารา แม้เข้าใจการเมือง รักความยุติธรรมอยู่แล้ว แต่ต้องแกร่งขึ้น เก่งขึ้น

ตัวชี้วัดความเก่งของพรรค คือการเลือกตั้งท้องถิ่นใน กทม. ซึ่งเป็นเขตยุทธศาสตร์สำคัญของการต่อสู้ทางการเมือง ทำอย่างไรจะได้ประโยชน์สูงสุดที่เป็นจริง สถานการณ์แบบนี้ถ้าฝ่ายตรงข้ามยังยึดครองไว้ได้ ก็ต้องไปฝึกการเดินเกมการเมืองและการต่อรองมาใหม่