ตัดไม่ขาด โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

สถานีคิดเลขที่ 12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

——————–

ตัดไม่ขาด

———————-

ไม่อยากฟื้นฝอยหาตะเข็บ

โดยเฉพาะกรณีที่ใครจะตัดพี่ ตัดน้อง กัน

เพราะเราคงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

ทั้งที่รู้ว่า บางทีพี่น้องเขาไม่ถูกกัน ชนิดแบ่งกันเป็นรุ่นๆแตกแยกกันไม่เฉพาะในรั้ว เท่านั้น

ยังมี”ลูกหลง” ลามออกมาเป็นวิกฤตของบ้านเมือง

และจบลงที่ปฏิวัติ บ้านเมือง เสียหาย ก็มีมาแล้ว

แต่ก็พยายามทำใจว่า นั่นเป็น กรณีพิเศษ มิใช่ประเด็นในเชิงหลักการ

ต่างจากสิ่งที่อยากเขียนถึงนี้

ซึ่งแม้จะอ้างมาจากอารมณ์ชั่ววูบก็ตาม

แต่การที่จะ “ชั่ววูบ” ได้ มันต้องสะสม ตกตะกอน จนกลายเป็นจิตใต้สำนึก

และมักจะหลุดออกมา เมื่อควบคุมตัวเองไม่ได้

ใช่แล้ว กำลังจะเขียนถึง กรณี ส.ว.สายทหาร ลั่นวาจา ที่ได้ยินไม่ใช่เฉพาะรัฐสภา

หากแต่ กึกก้องไปแทบ”บ้านทุกครัวเรือน”

“ถ้าเป็นแบบนี้ มันต้องปฏิวัติกัน 20 ปี”

คือสิ่งที่ หลุดออกมาจากปากของ ส.ว.สายทหารผู้นั้น

หลุด ทั้งที่ ท่านผู้นั้นกำลังสวมหมวก “สมาชิกรัฐสภา”

ทั้งที่นั่ง อยู่ใน”รัฐสภา” ในฐานะ ผู้แทนราษฏร ประเภทหนึ่ง(ซึ่งจะชอบธรรมหารตือไม่ชอบธรรม มิใช่ประเด็นที่จะมาถกเถียงกันตอนนี้)

อันเป็นองค์กรสำคัญของ ระบอบประชาธิปไตย ในฐานะ “ฝ่ายนิติบัญญัติ”

แม้ เจ้าตัวจะรีบถอนคำพูดดังกล่าว เมื่อควบคุมอารมณ์ ได้

แต่ มันก็ได้เปลือย ชนิดแบบ “ล่อนจ้อน” ว่า ลึกๆแล้วเหล่าบรรดาเสนาอามาตย์นั้น

ผูกพันอาวรณ์กับ การ ปฏิวัติ-รัฐประหาร อยู่มากเพียงใด

แม้จะเข้ามาเล่นอยู่บนเวทีประชาธิปไตย แต่ก็ไม่ได้ศรัทธากับคำว่า”ปรชาธิปไตย”สักเท่าไหร่

ยังรู้สึก ความเหนือกว่า ดีกว่า ที่ เข้ามาก็มาในฐานะ “พี่เลี้ยง” หรือผู้กำกับดูแล

มิใช่ในฐานะ ตัวแทนของประชาชน

อย่างไรก็ตามความรู้สึก ที่ใม่ใช่เนื้อเดียวกัน พยายามเก็บเอาไว้

มิดชิดบ้าง ไม่มิดชิด บ้าง แต่พออ้อมแอ้มว่า เราก็เป็นประชาธิปไตย เหมือนกัน

แต่เมื่อถูกกระตุ้น หรือ มีสิ่งเร้าเข้ามาเร่งปฏิกิริยา

“จิตใต้สำนึก”ก็หลุดออกมา–นั่นคือขู่หรือไม่ก็เรียกร้องการ”ปฏิวัติ”

ในช่วง รัฐประหาร 5 ปีที่ผ่านมา

เราไม่รู้ว่า”จิตสำนึกเหล่านี้”ถูกปลูกฝังเข้าไปในดีเอ็เอของ คนในกองทัพ”หนา”ขึ้นเท่าใด

แต่การที่ ฝ่ายนำของกองทัพ ไม่มีเจตนาแน่วแน่ ที่จะดึงกองทัพออกจากการเมือง กลับสู่ที่ตั้ง วางตัวเป้นกลาง เป้นทหารอาชีพ

ก็สะท้อนให้เห็นถึงความพึงใจที่จะให้ทหารยุ่งเกี่ยว ผูกพันกับการเมืองต่อไป

หนักไปกว่านั้น รัฐธรรมนูญ และกฏหมายที่เกี่ยวข้อง ยังถูกวางกลไกให้คนของกองทัพ เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการ”บริหาร”อย่างกว้างขวาง

โดยเฉพาะกลไก กอ.รมน. ที่มีผู้กล่าวว่า ถูกวาง ให้เป็นประหนึ่ง รัฐซ้อนรัฐ เลยทีเดียว

ทำให้คนของกองทัพ คุ้นชิน ที่จะใช้อำนาจบริหาร มิใช่อำนาจรักษาความมั่นคง เท่านั้น

5 ปีที่ผ่านมา บุคลากรของกองทัพตั้งแต่ระดับกลางจนถึงระดับสูง “จำนวนมาก” ถูกนำเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารบ้านเมือง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ประหนึ่งเหมือน ยักษ์ได้ออกจากตะเกียงแล้วยากจะดึงกลับ

แถมจะกลายเป็นความเคยชินกับการใช้อำนาจที่ไม่ใช่หน้าที่ตน และฝังลึกเข้าไปในจิตสำนึกว่า นี่คือภาระกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของตนที่จะต้องปกปักษ์ดูแลบ้านเมือง อีกต่างหาก

ทั้งที่ไม่ใช่

แต่ก็ได้ตกผลึกในใจไปเรียบร้อย และไม่พอใจหากใครจะมาริบเอาสิ่งนี้ไป

เพียงแต่ไม่แสดงออกโต้งๆ เพราะอีกด้านหนึ่งก็รู้ว่านั่นไม่ใช่อำนาจของตน

แต่มันโผล่ออกมายามไม่รู้ตัวหรือคุมสติตัวเองไม่ได้

สะท้อนถึง การตัดปฏิวัติ “ไม่ขาด”