ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
ทุกคนในประเทศรู้ว่า คสช.เป็นเผด็จการทหารที่ยึดอำนาจแล้วเสพติดอำนาจจนกระเสือกกระสนสืบทอดอำนาจทุกวิถีทาง และต่อให้ห้าปีของการรักษาอำนาจจะผ่านไปโดยประชาชนแทบไม่ได้อะไร
ข้อดีอย่างหนึ่งก็คือรัฐบาลคณะรัฐประหารชุดนี้เปิดโปงตัวเองให้เห็นว่ามีความสามารถบริหารประเทศต่ำเหลือเกิน
วิธีเข้าสู่อำนาจโดยใช้ปืนตั้งรัฐบาลสะท้อนว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีคนรักน้อยกว่ามีคนชัง
และต่อให้คุณประยุทธ์จะสร้างเรื่องเลือกตั้งจนได้เป็นรัฐบาลต่อเนื่องห้าปี ประชาชนที่รักคุณประยุทธ์จนหนุนให้เป็นนายกฯ ต่อก็ไม่เพิ่มขึ้นนัก
การตั้งพรรคหนุนคุณประยุทธ์จึงต้องดูด ส.ส.จากฝ่ายตรงข้ามคุณประยุทธ์เข้ามา
คุณประยุทธ์สร้างราคาตัวเองจากกระแสความหวาดกลัวคุณทักษิณ ชินวัตร ที่มีตั้งแต่คุณประยุทธ์เป็นนายพัน คนแบบคุณประยุทธ์ตั้งตัวเองเป็นนายกฯ ได้เพราะพันธมิตรและ กปปส.ปลุกระดมมวลชนให้คนในชาติแตกแยกอย่างต่อเนื่องหลังปี 2549 ไม่ใช่เพราะมีอะไรดีจนทุกฝ่ายเห็นว่าเป็นทางออกของประเทศได้จริงๆ
เมื่อได้อำนาจจากการรับช่วงการเมืองแห่งความเกลียดชัง ยุทธวิธีจรรโลงอำนาจย่อมได้แก่การสร้างเรื่องเพื่อเสี้ยมให้คนไทยขัดแย้งกันเองไม่รู้จบ
คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จึงต้องถูกยัดข้อหาร้ายแรงต่างๆ เพื่อให้คุณประยุทธ์มีเหตุผลไปหล่อเลี้ยงขบวนการปลุกปั่นว่าตัวเองควรเป็นนายกฯ ต่อให้ประเทศจะแตกแยกอีกแค่ไหนก็ตาม
ห้าปีที่ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในอำนาจ คือห้าปีที่รัฐตอกลิ่มคนในชาติเพียงเพื่อรักษาฐานอำนาจทางการเมือง
และสี่ปีหลังจากนี้จะเป็นสี่ปีที่ยุทธวิธีแบ่งแยกประชาชนเดินหน้าตามแนวทางที่ คสช.รับช่วงจากสุเทพ เทือกสุบรรณ และสนธิ ลิ้มทองกุล นานครึ่งทศวรรษ
ความปรองดองจึงเป็นแค่นิยายลวงโลกของคนที่รักษาอำนาจโดยปั่นให้คนฆ่ากัน
กลุ่มต้านประชาธิปไตยประดิษฐ์คำว่า “ระบอบทักษิณ” เพื่อสร้างภาพว่าอดีตนายกฯ เป็นปีศาจทั้งที่ชนะเลือกตั้งสองครั้งแล้วอยู่ในอำนาจจริงๆ แค่สี่ปี
แต่หากเทียบบัญญัติไตรยางค์เด็กมัธยม เมืองไทยวันนี้ก็อยู่ใต้ “ระบอบประยุทธ์” ซึ่งคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ โดยไม่มีใครเลือกเข้าปีที่หกด้วยวิธีแบ่งแยกแล้วปกครอง
ด้วยผลงานที่คุณประยุทธ์ทำมาตลอดหกปี แม้แต่กองเชียร์คุณประยุทธ์เองก็ไม่กล้าบอกว่าคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ที่ดีที่สุดของประเทศแน่ๆ
ยิ่งไปกว่านั้นคือคงมีคนน้อยลงไปอีกเยอะที่จะกล้าพูดว่านโยบายของรัฐบาลประยุทธ์ 1 คือนโยบายที่จะพัฒนาประเทศสู่ความก้าวหน้าและเป็นธรรมสำหรับทุกคน
ห้าปีของระบอบประยุทธ์ผ่านไปโดยไม่มีใครเถียงได้ว่าคนส่วนใหญ่จนลง การค้าขายฝืดเคือง ประเทศไทยถดถอยเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง
ประชาธิปไตยเสื่อมทราม
ความปรองดองของคนในชาติไม่ดีขึ้น
การคอร์รัปชั่นระบาด และแม้แต่ความเหลื่อมล้ำในสังคมก็ถ่างกว้างจนทุกคนรู้สึกเหมือนกัน
ครึ่งทศวรรษในระบอบประยุทธ์ผ่านไปแบบที่ทุกพรรคการเมืองหาเสียงเรื่องฟื้นฟูเศรษฐกิจซึ่งย่อยยับเมื่อคุณประยุทธ์เป็นใหญ่ในแผ่นดิน และในเมื่อคุณประยุทธ์กำลังสืบทอดอำนาจตัวเองในรัฐบาลประยุทธ์ 2 นโยบายต่างๆ ของรัฐบาลนี้จึงควรแตกต่างจากประยุทธ์ 1 ไม่อย่างนั้นปัญหาต่างๆ ก็จะไม่เปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ดี นโยบายของรัฐบาลประยุทธ์ 2 ที่คุณประยุทธ์แถลงต่อรัฐสภาแสดงถึงความแตกต่างจากรัฐบาลประยุทธ์ 1 น้อยมาก
ยิ่งกว่านั้นคือหลายข้อไม่ใช่ “นโยบาย” จนน่ากังวลว่ารัฐบาลประยุทธ์ 2 คงไม่ต่างจากรัฐบาลที่แล้ว
ซ้ำหลายข้อยังเป็นเรื่องที่ถึงอย่างไรก็มีข้าราชการทำแน่ๆ ต่อให้ไม่มีรัฐบาลเลย
คุณประยุทธ์ประกาศนโยบายประยุทธ์ 2 จะยึดหลักสำคัญสี่ประการ แต่หลักสามประการแรกเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ ซึ่งแม้ไม่มีคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ก็ไม่ใช่ปัญหาแน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการน้อมนำพระปฐมบรมราชโองการ, การพัฒนาประเทศตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง หรือการยึดมั่นในระบอบการปกครองปัจจุบัน
สำหรับหลักการข้อที่เรื่องบูรณาการระหว่างภาครัฐ-เอกชน-ประชาชน, ทำให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข รวมทั้งทำให้ประเทศมีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน จะมีใครเป็นนายกฯ หรือพรรคไหนเป็นรัฐบาลก็คงยึดมั่นในหลักการนี้อยู่แล้ว ตัวหลักการจึงกว้างจนบอกไม่ได้ว่ารัฐบาลนี้เหมือนหรือต่างจากรัฐบาลอื่นอย่างไร
คุณประยุทธ์แสดงให้เห็นตลอดห้าปีที่ผ่านมาถึงความไม่เข้าใจว่า “วิสัยทัศน์” คืออะไร และในโลกที่ “วิสัยทัศน์” คือการมองเห็นอนาคตแจ่มชัดพอจะวางแผนเพื่อดำเนินการต่างๆ ให้สังคมเดินหน้าสู่จุดหมายที่ดีที่สุด รัฐบาลประยุทธ์ 1 ก็เป็นตัวอย่างของรัฐบาลที่ไม่เข้าใกล้คำว่ามีวิสัยทัศน์แม้แต่นิดเดียว
คุณประยุทธ์พูดต่อหน้าคนไทยและประชาคมโลกมาตลอดว่าวิสัยทัศน์ของท่านคือ “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา”
แต่สามเรื่องนี้เป็นคำขวัญหรือคำปฏิญาณ (Vow) ที่ไม่แสดงความสามารถคาดคะเน (Anticipate) ถึงขั้นเล็งเห็นอนาคตนัก
และนโยบายประยุทธ์ 2 ก็ไม่ได้แสดงว่าคุณประยุทธ์มีพัฒนาการเรื่องนี้อย่างใด
ในคำแถลงนโยบายช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลสืบทอดอำนาจประกาศว่ามีวิสัยทัศน์ให้ไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21
แต่ที่จริงเกณฑ์พิจารณาว่าใครเป็น “ประเทศพัฒนา” มีตั้งแต่ GDP, GNP, รายได้ต่อหัวของประชากร, มาตรฐานการดำรงชีวิต ฯลฯ
คำแถลงวิสัยทัศน์แค่นี้ไม่พอจะชี้ทิศทางประเทศไทย
คำแถลงนโยบายประยุทธ์ 2 เป็นหลักฐานของความไม่รู้ว่าวิสัยทัศน์คืออะไร ซ้ำยังชี้ว่ารัฐกำหนดนโยบายโดยใช้สมองน้อยมาก เพราะประเทศไทยติดหล่ม “ประเทศกำลังพัฒนา” หลายสิบปีจน “ประเทศพัฒนา” คือวิถีที่เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว
สิ่งที่รัฐในฐานะผู้กำหนดนโยบายต้องทำจึงได้แก่การบอกวิธีไปจากหล่มนี้สักที
ประยุทธ์ 2 แถลงนโยบายหลักสี่ข้อแรกซึ่งที่จริงเป็นหน้าที่ของทุกรัฐบาล ตัวอย่างเช่น การแก้ปัญหายาเสพติดโดยห้ามเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด, การกำหนดให้ทุกหน่วยงานดูแลความสงบในชุมชน ฯลฯ จนไม่เห็นความจริงจังและความสร้างสรรค์ในการดำเนินการราวกับเขียนนโยบายเรื่อยเปื่อยแบบขอไปที
พล.อ.ประยุทธ์เชื่อว่าประชาชนจะเลิกเรียกร้องประชาธิปไตย หากอยู่ดีกินดี แต่ระบอบประยุทธ์ห้าปีแรกผ่านไปโดยคนส่วนใหญ่รู้สึกว่าชีวิตเลวลง
ซ้ำนโยบายประยุทธ์ 2 ก็ไม่มีวี่แววว่าจะทำให้แนวโน้มนี้ดีขึ้น โอกาสที่ไทยจะเป็น “ประเทศที่พัฒนา” จึงมีน้อยมาก โดยเฉพาะหากเอารายได้ประชาชนเป็นแกนกลาง
ในคำแถลงนโยบายทั้ง 35 หน้าของรัฐบาล มาตรการเพิ่มรายได้ประชาชนเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงน้อยจนไม่น่าเชื่อ
โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเรื่องความสามารถในการแข่งขันของประเทศ, พัฒนาอุตสาหกรรมด้วยแนวคิดใหม่อย่างเศรษฐกิจชีวภาพ, สร้างนวัตกรรมในเศรษฐกิจมูลค่าสูง, สนับสนุนผู้ประกอบการ ฯลฯ
หนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มรายได้ประชาชนคือการเพิ่มค่าแรง แต่คำเดียวที่รัฐบาลพูดเรื่องนี้คือการ “ยกระดับรายได้ค่าแรงแรกเข้า” โดยไม่มีความชัดเจนด้านกรอบเวลาหรือเม็ดเงินมารองรับ
ยิ่งกว่านั้นคือเครื่องมือสำคัญอย่างนโยบายกระจายรายได้ก็ถูกพูดถึงน้อยจนน่าตกใจด้วยเช่นเดียวกัน
ในนโยบายที่ระบอบประยุทธ์ยัดเยียดต่อสังคมไทย การกระจายรายได้จะเกิดเมื่อเศรษฐกิจท่องเที่ยวและวิสาหกิจชุมชนเติบโตจนเม็ดเงินไหลไปสู่ประชาชนตามธรรมชาติ
รัฐไม่มีบทบาทในการทำให้เกิดการกระจายรายได้
เช่นเดียวกับไม่มีบทบาทในการสร้างกลไกให้ธุรกิจกระจายเม็ดเงินไปสู่ประชาชน
รัฐบาลประยุทธ์ 2 มีนโยบายสังคมบางข้อน่าสนใจ แต่หลักใหญ่ของนโยบายดังกล่าวล้วนต่อยอดแนวคิดพลังประชารัฐที่คนจนเป็นแค่คนรับเศษเงินตามที่รัฐเผด็จการพอใจ แก่นของนโยบายจึงเป็นการสังคมสงเคราะห์คนจนเฉพาะที่รัฐยอมรับว่าต้องช่วยอย่างยิ่งยวด แต่ไม่ใช่ทำให้คนจนหลุดพ้นจากความยากจน
ระบอบประยุทธ์เฟสสองมีนโยบาย “จัดให้มีระบบบำเหน็จบำนาญหลังพันวัยทำงาน” และถึงแม้นโยบายนี้ดีในแง่คุ้มครองประชาชนเหมือนข้าราชการ ความชัดเจนด้านเม็ดเงินที่ต้องใช้เพื่อการนี้กลับมีน้อยมาก ทั้งที่ถ้ารัฐทำเรื่องนี้ได้จริงๆ จะเป็นการเปลี่ยนระบบสวัสดิการประเทศที่สำคัญไม่น้อยกว่าเรื่องบัตรทอง
คุณประยุทธ์ตั้งรัฐบาลในระบอบประยุทธ์ 2 แบบไม่ยอมให้มีความเปลี่ยนแปลง ประเทศไทยหลังการแถลงนโยบายรัฐบาลจึงมีอนาคตที่ไม่สดใส ผู้นำที่ไร้วิสัยทัศน์ยังคงดันทุรังบริหารประเทศแบบคนไม่รู้ว่าวิสัยทัศน์คืออะไร เนื้อในของนโยบายจึงไม่มีอะไรชัดเจนว่าจะเปลี่ยนประเทศจากสภาพที่เป็นมาห้าปี
หนึ่งในคำโจมตีที่คุณประยุทธ์มีต่อรัฐบาลจากการเลือกตั้งในอดีตคือการดำเนินนโยบายโดยไม่แจกแจงที่มาของเงิน แต่ในคำแถลงนโยบายของรัฐบาลประยุทธ์ 2 ที่มาของเงินเป็นเรื่องที่รัฐบาลชี้แจงไว้น้อยมาก มาตรฐานที่คุณประยุทธ์ตั้งกับรัฐบาลอื่นจึงไม่ถูกใช้กับตัวคุณประยุทธ์เองอย่างที่ทุกคนคาดเดา
ความเป็นนายกฯ ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งทำให้คนส่วนใหญ่ไม่คาดหวังว่าระบอบประยุทธ์เฟส 2 จะทำอะไร แต่ต่อให้ประชาชนจะรู้ความจริงว่ารัฐบาลนี้ไม่ใช่รัฐบาลของประชาชน คุณประยุทธ์ก็มีหน้าที่ต้องทำนโยบายรัฐให้ดีที่สุดเพื่อประชาชนให้ได้ ไม่ใช่ทำนโยบายที่ไม่ได้เรื่องจนมีหรือไม่มีรัฐบาลก็ไม่สำคัญ
ปฐมบทของการเดินหน้าประเทศไทยสู่ภาวะปกติผ่านการเลือกตั้ง 2562 ได้เกิดขึ้นแล้ว แต่ด้วยน้ำมือของรัฐบาลและวิสัยทัศน์ของผู้นำ เส้นทางการคืนความปกติสุขสู่ประเทศยังคงไกลเกินฝัน และอย่างมากที่สุดที่เราจะได้ก็คือรัฐบาลประชานิยมใช้เงินมือเติบเพื่อกลุ่มทุนที่พรรคการเมืองร่วมบริหารกับเผด็จการนายพล
รัฐบาลที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้เลือกกำลังทำตัวเป็นปรสิตของสังคมจนองคาพยพทั้งหมดของรัฐเป็นภาระแก่ประชาชนอย่างไม่ควรเป็น