เครื่องเคียงข้างจอ /วัชระ แวววุฒินันท์ / เรื่องดีดีจากนาฏราช 10

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

เรื่องดีดีจากนาฏราช 10

จบไปแล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานะครับสำหรับ งานประกาศรางวัล “นาฏราช ครั้งที่ 10” ซึ่งจัดโดยสมาพันธ์สมาคมวิชาชีพวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ซึ่งเป็นงานที่คนในวงการสื่อสารทางด้านวิทยุและทีวีมอบรางวัลให้แก่กัน

หากใครได้ชมการถ่ายทอดสดทางช่องวัน 31 คงจะเต็มอิ่มกับเนื้อหาของงานในวันนั้นที่ยาวถึง 3 ชั่วโมง 45 นาที แต่เป็นเวลาเกือบ 4 ชั่วโมงที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง

รางวัลที่ทำการประกาศกันมีทั้งหมด 39 รางวัล เป็นรางวัลทางด้านวิทยุ 9 รางวัล ด้านโทรทัศน์ 28 รางวัล และรางวัลเกียรติยศอีก 2 รางวัล

งานในวันนั้นมีโมเมนท์ดีดีเกิดขึ้นมากมาย ที่มาจากหัวจิตหัวใจและความรู้สึกของคนทำงานในวงการวิทยุและโทรทัศน์โดยแท้ เป็นความรู้สึกที่งดงามและมีความหมาย

อย่างไรบ้างน่ะหรือ?

 

หากเป็นผู้ชมทางหน้าจอแล้ว ก็อาจจะรู้สึกว่างานดี โชว์สวยงาม ดารานักแสดงมาเยอะดี ดูเป็นงานที่หรูมีรสนิยม แต่สำหรับคนในวงการแล้ว โดยเฉพาะเป็นคนที่ได้นั่งอยู่ในงานวันนั้น มันมีความรู้สึกเต็มตื้นเกิดขึ้นเป็นระยะ

อย่างแรกเลย เราได้เห็นพี่น้องในวงการมาร่วมตัวกันมากมาย ผู้บริหารจากสถานีเกือบทุกสถานีให้เกียรติมาร่วมงาน ยังขนเอานักแสดง พิธีกร ผู้ประกาศข่าวมาร่วมงานกันอย่างอบอุ่น ที่เต็มตื้นคือ ในการทำงานเราคือคู่แข่งกัน ที่ต้องจับตากันและกัน แต่ในงานเราคือพี่น้องกัน เห็นภาพการทักทาย สวมกอดแสดงความยินดีให้กันและกันแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่งดงาม

โดยเฉพาะมีบุคลากรหลากวัยมาอยู่รวมกัน ทั้งคนที่เป็นระดับอาวุโสมาจนถึงคนหน้าใหม่ที่พร้อมจะเป็นทรัพยากรต่อไปของวงการ

เห็นมือเขียนบทระดับอาจารย์อย่างพี่แดง ศัลยา เห็นมือเขียนละครอย่างยุ่น-ยิ่งยศ ปัญญา ไปอีกโต๊ะก็เป็นเจี๊ยบ วรรธนา และมีมือเขียนบทเป็นทีมคนรุ่นใหม่จากนาดาว เป็นต้น

เห็นนักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง ก้อย ทาริกา, ตั๊ก มยุรา มาถึงรุ่นกลางอย่าง ป๊อก ปิยะธิดา, นก สินจัย, อ้อม พิยดา, แหม่ม แคทลียา

และอีกหลายคนไปจนถึงรุ่นใหม่อย่าง เบลล่า ราณี, โบว์ เมลดา และนักแสดงหนุ่มสาวจากค่ายต่างๆ

 

ที่รู้สึกและรับรู้ได้มากๆ คือ บุคลากรในวงการข่าว เหมือนพวกเขาจะรู้จักกัน เคยได้ร่วมงานกัน เคยมีประสบการณ์ร่วมกันของอาชีพคนข่าว พวกเขาจะพูดถึงกัน ชื่นชมกันแบบที่รู้ว่าไม่ใช่สคริปต์ หรือตั้งใจพูดให้ดูดี

อุ๋ย-ภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ ซึ่งได้รับรางวัลผู้ประกาศข่าวชายยอดเยี่ยม ขึ้นไปรับรางวัลและพูดด้วยน้ำตาคลอพร้อมเสียงเครือถึงความตื่นเต้นที่ได้รับรางวัลนี้ เป็นรางวัลที่คนทำงานข่าวเหมือนกันมองเห็นและมอบให้ รางวัลนี้จะเป็นพลังให้พัฒนาการทำงานขึ้นไปเรื่อยๆ และย้ำว่า “ข่าวนั้นสร้างชาติได้ พัฒนาบ้านเมืองได้”

ส่วนผู้ประกาศข่าวหญิงที่นั่งทำงานข้างๆ ด้วยกัน คือ มิลค์-เขมสรณ์ หนูขาว ก็ได้รับรางวัลผู้ประกาศข่าวหญิงยอดเยี่ยม เป็นการได้รับรางวัลนี้ 2 ปีซ้อนของเธอ เพียงแต่คราวที่แล้วเธอติดงานไม่ได้มาทราบผลและขึ้นรับด้วยตัวเอง ปีนี้จัดเวลามาร่วมงานและก็ได้รางวัลสมใจ

เธอกล่าวว่า “คนทำงานข่าววันนี้ต้องทำงานหนักมากกว่าที่เคยทำ จึงขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนร่วมอาชีพทุกคน”

เหล่านี้คือมิตรภาพของคนร่วมวงการโดยแท้

 

รางวัลใหญ่รางวัลหนึ่งของงานละคร คือ ผู้กำกับยอดเยี่ยม ในงานเราได้รับเกียรติจากผู้กำกับที่กวาดรางวัลมาแล้วหลายครั้ง รวมทั้งรางวัลนาฏราชเองก็หลายหน คือ ออฟ-พงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง ที่มาเป็นผู้ประกาศผลรางวัล

ออฟยังไม่หายดีจากอาการเจ็บป่วยเมื่อปีที่แล้ว แม้จะเดินยังต้องมีไม้เท้า แต่ออฟก็ให้เกียรติกับงาน

เสียงที่พูดแม้จะไม่ชัดเจนเช่นเดิม แต่เขาก็พยายามทำงานการประกาศให้ลุล่วงไปด้วยดี

นี่คือ “สปิริต” ที่เขามีให้กับงานนาฏราชมาโดยตลอด

จากความประทับใจของผู้ประกาศ ก็มาถึงความประทับใจจากผู้รับอีก ซึ่งครั้งนี้ผู้ที่ได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมไปครองก็คือ ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์ จากละครเรื่อง “เลือดข้นคนจาง” ซึ่งก็กวาดรางวัลไปหลายตัวเหมือนกันจากงานนี้

ย้งพูดบนเวทีขอขอบคุณบุคคลต่างๆ ตามธรรมเนียมของผู้ได้รับรางวัล แต่ที่น่าประทับใจมากๆ คือตอนท้ายที่เขาบอกว่า เขาโตมากับละครไทย จนทำให้เขามาถึงวันนี้ได้ ฉะนั้น ทุกคนคือครูของเขาที่ทำให้เขาได้เรียนรู้และสร้างงานออกมาดังเช่นที่ได้รับรางวัลนี้

เป็นความน่าชื่นชมถึงความรู้สึกกตัญญูต่อสิ่งที่บ่มเพาะเขามา ที่สะท้อนถึงความเป็นพี่เป็นน้องกัน เป็นครูเป็นศิษย์กันของคนในวงการ

 

เรื่องดีๆ อีกเรื่องหนึ่งที่ขอเอ่ย คือ รางวัลเกียรติยศที่มอบให้กับคนในวงการวิทยุและวงการโทรทัศน์ ซึ่งทางด้านวิทยุนั้นผู้ได้รับรางวัลนี้ไป คือ สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา หรือพี่ฉอดของหลายๆ คน เกียรติยศที่พี่ฉอดสมควรได้รับนั้น มาจากการทำให้วิทยุเป็นมากกว่าวิทยุ ด้วยการต่อยอดไปถึงกิจกรรมที่เชื่อมผู้ฟังเข้ามา ต่อยอดไปถึงสิ่งดีๆ มากมายที่ให้กับสังคม เป็นทางออกให้กับผู้มีปัญหา และอีกมากมาย

บอย ถกลเกียรติ ซึ่งเคยได้รับรางวัลนี้มาก่อนได้กล่าวนำให้เกียรติในตอนต้น พี่ฉอดบอกว่านั่งฟังแล้วน้ำตาจะไหล เมื่อต้องขึ้นไปพูดบนเวทีจึงมีเสียงสั่นเครือติดมา

ส่วนรางวัลเกียรติยศด้านโทรทัศน์นั้น ผู้ได้รับไปคือ คุณประวิทย์ มาลีนนท์ ผู้บริหารช่อง 3 คุณประวิทย์นั้นทำให้ช่อง 3 ก้าวมาเป็นสถานีโทรทัศน์อันดับต้นๆ และสร้างปรากฏการณ์ต่างๆ มากมาย รวมทั้งการเปิดโอกาสให้กับคนทำงานเบื้องหน้าและเบื้องหลังอยู่เสมอ

คุณประวิทย์กล่าวออกตัวตอนแรกว่า จะขอใช้เวลาในการกล่าวมากกว่าเวลาที่ผู้จัดงานแจ้งไว้สักหน่อย แต่ความยาวของการพูดไม่เป็นอุปสรรคเลย เพราะทุกคำพูดของคุณประวิทย์นั้นมีสาระ มีความเห็นที่เป็นประโยชน์ มีประสบการณ์อันเชี่ยวกรำแฝงอยู่

คุณประวิทย์บอกว่าจะนำรางวัลนี้ไปมอบให้กับคุณพ่อคือ คุณวิชัย มาลีนนท์ ที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน เพราะหากจะพูดถึงความสำเร็จของช่อง 3 ในยุคตนนั้น มันมาจากการทำงานหนักของพ่อวิชัยที่ปูพื้นฐานมาก่อนนั่นเอง

วันพรุ่งนี้จะนำรางวัลไปมอบให้พ่อซึ่งปฏิเสธการรับรางวัลมาตลอด แต่ครั้งนี้ปฏิเสธไม่ได้แล้ว เพราะได้จากโลกนี้ไปแล้ว

การนำเสนอบนเวทีชิ้นหนึ่งที่น่าประทับใจ คือ การรำลึกถึงบุคคลในวงการที่เสียชีวิตไปในช่วงขวบปีที่ผ่านมา ซึ่งก็มีทั้งคนเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ประกอบการร้องเพลง “คิดถึงเหลือเกิน” อันไพเราะจาก “แก้ม วิชญาณี” เรียกเอาคนในงานน้ำตาซึมกันเป็นแถว

นี่คือความผูกพันของคนในวงการโดยแท้

 

ในส่วนของเจ เอส แอล เอง ได้มา 2 รางวัล คือ รางวัลรายการทอล์คโชว์ยอดเยี่ยม จากรายการ Perspective ที่เจ เอส แอล ทำร่วมกับบริษัท แบล็คด็อทของเปอร์ สุวิกรม รางวัลนี้เป็นการรับตัวรางวัลร่วมกับรายการ “ทอล์ค-กะ-เทย” ที่มีป๋อมแป๋มเป็นพิธีกรเนื่องจากคะแนนเท่ากัน

อีกหนึ่งรางวัลคือ พิธีกรยอดเยี่ยม คือ “ดู๋ สัญญา” จากรายการเจาะใจ สัญญายิ้มภูมิใจขึ้นไปรับรางวัลและกล่าวว่า “มีคนบอกว่าผมได้บ่อยเกินไป …ผมอยากได้บ่อยๆ ครับ (ฮา)” และกล่าวว่า “สิ่งหนึ่งที่เราควรจะเป็น คือ ความตั้งใจในการทำรายการจะต้องไม่สิ้นสุด โทรทัศน์มีความเปลี่ยนแปลงมากมาย หลายการเปลี่ยนแปลงเกิดการกวาดล้างให้หายไป ทำยังไงไม่ให้หายไป ก็ต้องทำให้มันดี”

สำหรับรางวัลพิธีกรยอดเยี่ยมนั้น สัญญาได้รับเฉพาะจากรางวัลนาฏราชเป็นตัวที่ 6 แล้วจากการจัด 10 ครั้ง นั่นเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีถึงความสามารถของเขาที่คนในวงการยอมรับ

 

ส่วนละครที่ขับเคี่ยวกันอย่างสนุกคือ “บุพเพสันนิวาส” และ “เลือดข้นคนจาง”  ก็แบ่งรางวัลกันไป เรื่องแรกได้ไป 4 รางวัล เรื่องหลังได้ไป 5 รางวัล

รางวัลนักแสดงนำหญิงนั้นเป็นรางวัลที่ลุ้นกันหนัก เพราะทุกคนที่เข้าชิงมีการแสดงอันน่าประทับใจทั้งสิ้น สุดท้ายเป็น “เบลล่า ราณี” ได้รับไปจากบทแม่การะเกด ซึ่งก็ได้รับการปรบมือให้สนั่นงาน

ส่วนนำชายก็เป็น “แท่ง ศักดิ์สิทธิ์” จากบท “กู๋เมธ” ใน”เลือดข้นคนจาง” ซึ่งความเข้มข้นของละครเรื่องนี้ก็ทำให้ “ต่อ ธนภพ” ในบทพี่ชายคนโตของตระกูลจิระอนันต์ ได้รับรางวัลสมทบชายไปด้วย

ส่วนสมทบหญิงเป็นของ “มารี เบรินเนอร์” จาก “เมีย 2018”

งานจบลงด้วยความสวยงาม สมคุณค่า เป็นความภาคภูมิใจงานหนึ่งของคนในวงการบันเทิง พบกันใหม่ปีหน้ากับ นาฏราชครั้งที่ 11 ครับ