เปิดเส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ของ “ฟ้าใส ปวีณสุดา” สู่ฝันอันยิ่งใหญ่ “มิสยูนิเวิร์ส 2019” !

เมื่อสนทนากัน คำกล่าวแรกๆ ที่ “ฟ้าใส ปวีณสุดา ดรูอิ้น” มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 เปิดใจออกมานั้นพาดพิงถึงแนวคิดเรื่อง “เวลา”

เธอบอกว่า ถ้าสมมุติตัวเองปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปจนถึงภาวะที่ “สายเกินไป” แล้วจึงค่อยย้อนกลับมามอง “ช่วงเวลา” (ในอดีต) ที่เธอยังพอมีโอกาสสานความฝันบางเรื่องได้สำเร็จ

เมื่อนั้น เธอคงทั้งเสียดายและเสียใจ ที่ยอมปล่อยให้ “ความกลัว” มาหยุดยั้ง มิให้เธอได้ลงมือทำในสิ่งที่ตัวเองรักอย่างสุดความสามารถ

ในโลกความเป็นจริง “ฟ้าใส” ไม่ยอมให้ “ช่วงเวลาทอง” หรือ “โอกาสที่สอง” ของเธอผ่านพ้นหลุดลอยไป

อดีตรองมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2017 จึงหวนขึ้นประกวดบนเวทีเดิม (โดยผู้จัดรายใหม่) เป็นครั้งที่สอง และสามารถคว้ามงกุฎมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ปีล่าสุดมาครองได้อย่างไม่ค้านสายตา!

“ฟ้าใส ปวีณสุดา” เป็นลูกครึ่งไทยเชื้อสายจีน-แคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส วัย 25 ปี พร้อมดีกรีนักเรียนนอก โดยจบปริญญาตรีสาขาวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหวด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับ 1 จากมหาวิทยาลัยแคลการี ประเทศแคนาดา

เจ้าของส่วนสูง 180 ซ.ม. เคยผ่านการเข้าประกวดนางงามมาหลายเวที จนเรียกได้ว่าเธอคือ “ผู้เจนเวทีที่สุด” ในการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ครั้งนี้

ฟ้าใสเล่าให้ฟังพร้อมรอยยิ้มที่ผลิแย้มจากความสุขอย่างสัมผัสได้ถึงจุดเริ่มต้นนับหนึ่งบนเวทีนางงามว่า ทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วง พ.ศ.2556 ซึ่งขณะนั้นเจ้าตัวยังเกิดความสับสนในชีวิตว่าจะเลือกเดินทางไหน?

แม้จะเคยมีความฝันในวัยเด็กคืออยากประกอบอาชีพหมอ แต่พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เธอกลับพบว่านั่นไม่ใช่ทางของตัวเอง

กระทั่งได้รับคำแนะนำจากคุณครูสอนภาษาไทยให้ลองประกวดนางงาม และเวทีแรกที่เจ้าตัวเข้าร่วมการประกวดนั่นก็คือมิสไทยแลนด์ไชนีสคอสมอส พ.ศ.2556 ซึ่งเธอได้ตำแหน่งรองอันดับ 2 มาครอง

ก่อนที่ฟ้าใสจะเดินหน้าประกวดนางงามอย่างจริงจังในอีกหลายเวที ไม่ว่าจะเป็นนางสาวไทย พ.ศ.2556 ที่ได้รับตำแหน่งรองอันดับ 1, มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2017 (พ.ศ.2560) ซึ่งคว้าตำแหน่งรองอันดับ 2 และได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งมิสไทยแลนด์เอิร์ธ เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมประกวดมิสเอิร์ธ 2017

ก่อนจะสานฝันได้สำเร็จสมบูรณ์ในการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์หนนี้

“เรียกว่าหนูเรียนรู้แต่ละอย่างไม่เหมือนกันดีกว่า ในปี 2013 เวทีแรก มิสไทยแลนด์ไชนีสคอสมอส ตอนนั้นคือหนูไม่มีสติในการตอบคำถาม เพราะว่าเขาถามมาเป็นภาษาจีน แล้วหนูก็เอ๋อไปเลย เพราะหนูนึกว่าเขาจะถามเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ

“อันที่สองคือ มิสไชนีสคอสมอส เซาท์อีสต์เอเชีย ปี 2013 เหมือนกัน เป็นตัวแทนประเทศไทยไปประกวดที่มาเลเซีย แล้วตอนนั้นทำให้หนูได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ของการไปประกวดที่ต่างประเทศ ว่าจะต้องแต่งหน้าเอง ทำผมเอง ต้องนู่น ต้องนี่ อาหารเตรียมยังไง

“นางสาวไทยเป็นเวทีที่ทำให้หนูรู้สึกถึงความรับผิดชอบของการเป็นนางงามว่ามันมีหน้าที่อะไรบ้าง

“เวทีที่สี่ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ (2017) เป็นเวทีที่หนูตั้งใจมากๆ คือหนูคาดหวังไว้มาก แล้วก็เป็นอะไรที่ทำให้ผิดหวังเหมือนกัน เวลาที่เราไม่ได้ตามฝัน

“แล้วมันทำให้หนูรู้สึกถึงความกดดัน เพราะเรานึกอยู่ตลอดเวลาว่าสามเวทีที่ประกวดมา อะไรที่ทำให้เราเด่น ก็คือ เราสูง เราพูดภาษาอังกฤษได้ เราเป็นลูกครึ่ง ทำให้เรามีหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

“แต่พอมาเวทีนี้ปุ๊บ เจอพี่มารีญา (มารีญา พูลเลิศลาภ) เรียนจบปริญญาโท เป็นเด็กนอกเหมือนกัน ลูกครึ่งเหมือนกัน แล้วก็สูงกว่าด้วย มันก็เลยเหมือนเรามองหาจุดเด่นของตัวเองไม่เจอ ซึ่งก็ทำให้หนูเรียนรู้ในด้านนั้นได้เหมือนกันว่าเราควรจะกลับไปคุยกับตัวเองด้วยว่าเรามีจุดเด่นอะไรที่มันมากกว่าคำว่าความสวยภายนอก

“เวทีที่ห้า มิสเอิร์ธ เป็นตัวแทนประเทศไทย จริงๆ มันทำให้หนูเรียนรู้ถึงการที่เราไปประกวด แล้วเราจะต้องประกวดเพื่อจุดประสงค์ ไม่ใช่แค่ประกวดเพราะเราต้องการมงกุฎ แต่ประกวดเพราะมีเป้าหมายว่าเราอยากจะช่วยเหลืออะไร หนูชอบที่เวทีนั้นเขาจะให้พวกเราทุกคนไปทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อช่วยเหลือสังคมเวลาเก็บตัว

“ส่วนเวทีนี้ (มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019) ก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์ทุกอย่าง เพื่อพัฒนาตัวเองให้มาถึงจุดนี้ แล้วก่อนที่จะกลับมา ก็มีหลายอย่างเหมือนกันค่ะ ที่มีท้อ มีกลัว มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เข้ามา

“เหมือนเราก็ถามตัวเองด้วยว่า จริงๆ แล้วเราต้องเป็นนางงามไหม? เรามีทางเลือกอีกตั้งหลายทาง มันต้องกลับมาจุดนี้ไหม? แล้วถ้าเกิดกลับมา เราอยากจะประกวดเวทีไหน? ระหว่างมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์กับมิสไทยแลนด์เวิลด์ เพราะว่ามันจะมีบริบทที่ไม่เหมือนกัน”

ฟ้าใสแบ่งปันประสบการณ์การประกวดอันโชกโชน และเผยให้เห็นถึงวิธีคิดใคร่ครวญอันลึกซึ้งของเธอ

เมื่อถามว่าอะไรคือแรงผลักดันที่ทำให้เจ้าตัวฮึดสู้และหวนคืนเวทีมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์อีกครั้ง สาวงามคนนี้ตอบทันทีว่า เหตุผลแรกคือ การที่ TPN (ผู้จัดการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019) เปิดโอกาสให้อดีตรองมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ปีก่อนๆ กลับเข้ามาประกวดใหม่

เมื่อโอกาสปรากฏ เธอจึงต้องมุ่งมั่นไขว่คว้าความฝันมาครองให้จงได้

“ก่อนที่จะประกวด เราต้องถามตัวเองด้วยว่า จุดเด่นของเราคืออะไร? แล้วมันก็มีช่วงที่หนูท้อ ว่าหนูเฟรนด์ลี่เหมือนคนนั้น หนูคิดบวกเหมือนคนนี้ เป็นนักสู้เหมือนคนนั้น แล้วข้อดีของเราคืออะไร?

“แล้วหนูก็เคยไปถามคุณพ่อด้วยว่า พ่อ…ทำไมพ่อเห็นว่า I have the potential to be the next Miss Universe? (หนูมีศักยภาพจะเป็นมิสยูนิเวิร์สคนต่อไป) หนูถามแฟนคลับ ทำไมทุกคนถึงเชียร์หนู? ทำไมทุกคนอยากจะให้หนูกลับมา?

“แล้วมันเหมือนพอเราพยายามหาคุณค่าของตัวเอง คนอื่นอาจจะพูดข้อดีอย่างนู้นอย่างนี้ก็ได้ แต่ถ้าเราไม่รับฟัง เราไม่เปิดใจที่จะยอมรับข้อนั้น เราก็ไม่มีทางที่จะรู้สึกดี เราไม่มีทางที่จะรู้ข้อเด่นข้อดีของเราได้

“แต่พอพ่อพูดมาคำหนึ่งว่า “ทุกคน believe in you ทุกคนเชื่อในตัวของลูก” ทำไมเรายังไม่เชื่อในตัวเองบ้างล่ะ? ก็เลยเริ่มเปิดใจ จริงๆ หนูอาจจะดีเหมือนคนนู้น ดีเหมือนคนนั้น แต่ว่าพอมารวมๆ กัน บวกกับประสบการณ์ที่หนูมี นั่นคือสิ่งที่ทำให้หนูแตกต่าง ทำให้หนูมีเอกลักษณ์

“And that where I have, I can bring it to the passion (และนั่นคือสิ่งที่หนูมี ซึ่งหนูสามารถแปรเปลี่ยนมันให้กลายเป็นพลังได้)”

อีกสิ่งหนึ่งที่ฟ้าใสเปิดเผยระหว่างให้สัมภาษณ์ก็คือ “ปมฝังใจ” ในวัยเด็ก ที่เธอถูกมองว่าเป็นคนประหลาดในสายตาเพื่อนๆ เมื่อครั้งเจ้าตัวเพิ่งเริ่มเข้าเรียนในสถานศึกษาแห่งใหม่ที่ต่างประเทศ

“ตอนที่หนูไปแคนาดาช่วงแรกๆ หนูแค่จำได้ว่าหนูอยากมีเพื่อนมาก แต่ภาษาคือยังไม่เป๊ะ แต่ด้วยการที่ตอนเด็กๆ เรากล้ามาก เราเดินเข้าไป เห็นเพื่อนเล่นอยู่ในสนามเด็กเล่น ก็พูดว่า “เฮ้ สบายดี ยู?” เพื่อนก็หันมาแบบ คนนี้พูดภาษาอะไร แบบไม่รู้เรื่อง แล้วเขาก็เล่นของเขาไปต่อ แล้วก็ไม่ให้หนูเล่นด้วย

“หนูก็กลับมาที่หน้าห้องเรียน แล้วเห็นว่ามันมีรองเท้าอยู่หน้าห้อง หนูก็จะจัดรองเท้าพวกนั้นไป แล้วคุณครูก็มาเห็น เขาก็ถาม what are you doing? (เธอกำลังทำอะไร?) หนูแค่เงยหน้าขึ้น ครูไม่ได้ถามอะไรต่อ แต่บอกให้มาช่วยครูทำงาน ในช่วงนั้นก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าเราอยู่โดดเดี่ยวเดียวดายอะไร

“โชคดีที่หนูไม่ได้โดน physically bully (การกลั่นแกล้งทางกายภาพ) มันก็แค่รู้สึกเรา isolated (โดดเดี่ยว) เพราะว่าเราแตกต่าง”

จากปมชีวิตที่เกิดขึ้นตั้งแต่วัยเด็ก ทำให้ฟ้าใสตระหนักถึงปัญหาการถูกกลั่นแกล้ง (bully) และกล่าวถึงปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นบ่อยในสังคมไทยอย่างเข้าอกเข้าใจ

“จริงๆ หนูก็เคยงงเหมือนกันว่า ทำไมคนถึงบูลลี่คนอื่น คุณได้อะไรจากการที่คุณไปทำร้ายคนอื่น ทั้งร่างกายหรือว่าจิตใจ คุณทำไปแล้วมันรู้สึกดีมากเหรอ ที่เห็นคนอื่นเขาเจ็บ

“คุณไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่คุณทำไปในเสี้ยววินาทีตอนนี้ หรือว่าในสิบนาทีตอนนี้ ที่ทำให้คุณอาจจะรู้สึกดี สิ่งนี้มันจะติดกับคนอื่นไปตลอดเลย แล้วมันจะทำให้เขาไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าที่จะทำอะไร ไม่กล้าที่จะเป็นตัวตนของเขาเลย

“แล้วมันน่ากลัวตรงที่ว่า ในปัจจุบันจากการบูลลี่ที่โรงเรียน ที่เราทำแบบ physical หรือ emotionally, mentally (กลั่นแกล้งทางกายภาพ, อารมณ์ความรู้สึก และจิตใจ) ตอนนี้คือมาเปลี่ยนเป็น cyber bully บูลลี่ทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งมันเข้าถึงได้ง่าย

“คุณอาจจะไม่รู้ว่าคุณเป็นหนึ่งในผู้มีพฤติกรรม cyber bully แล้วคุณก็ไม่รู้ว่ามีผลกระทบยังไงบ้าง จนกระทั่งคุณตกเป็นเหยื่อเอง”

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ตอนนี้ชื่อ “ฟ้าใส ปวีณสุดา ดรูอิ้น” ได้เข้าไปอยู่ในใจของใครหลายคน เธอกลายเป็นไอคอนแห่งความพยายาม และเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจในการต่อสู้เพื่อตามหาความฝัน

ฝันใหญ่กว่าที่ยังรอคอยฟ้าใสอยู่ ณ เบื้องหน้าคือ การไขว่คว้ามงกุฎนางงามจักรวาล 2019 ในช่วงปลายปีนี้

ไม่ว่าตัวแทนประเทศไทยคนนี้จะนำ “มงกุฎที่สาม” กลับมาฝากเพื่อนร่วมชาติได้หรือไม่ แต่ทุกคนเชื่อมั่นว่า “ฟ้าใส ปวีณสุดา” จะทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ที่สุด

ด้วยความสามารถและความมุ่งมั่นของเธอ!