เมอร์คิวรี่ : บทพิสูจน์ “รุ้งนารายณ์” สู่โคตรมวยไทยแห่งยุค

แม้จะถูกยึดรางวัล “นักมวยไทยยอดเยี่ยม” ของสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทย ประจำปี 2561

แต่ “รุ้งนารายณ์ เกียรติหมู่ 9 (ม.รัตนบัณฑิต)” ถือเป็นนักมวยภูธรที่ก้าวขึ้นมาสร้างผลงานในเวทีมาตรฐาน

ซึ่งนอกจากฝีไม้การชกด้วยอาวุธครบเครื่องแล้วยังนับเป็นนักมวยไทยที่มีเส้นทางบนสังเวียนผ้าใบที่เริ่มต้นจากยอดมวยภูธรสู่โครตมวยแห่งยุคที่มีความน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

สำหรับ “รุ้งนารายณ์ เกียรติหมู่ 9 (ม.รัตนบัณฑิต)” หรือ “วรวุฒิ โกรธประโคน” ปัจจุบันในวัย 24 ปี ถือเป็นนักมวยไทยเพชรเม็ดงามจากถิ่นภูธรที่เติบโตมาจาก “ค่ายมวยเกียรติหมู่ 9” ค่ายมวยภูธรแห่งเล็กๆ ซึ่งตั้งอยู่ที่ ต.ตะโกตาพิ อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์

ซึ่งมี “ลุงใจ” “สุดใจ ปุ่มประโคน” เป็นหัวหน้าคณะที่ตั้งค่ายมวยแห่งนี้มานานกว่า 30 ปีแล้ว

 

จุดเริ่มต้นเส้นทางสายมวยไทยของรุ้งนารายณ์ เกิดขึ้นเมื่ออายุเพียงแค่ 8 ขวบ โดยเขาเป็นลูกหลานของ “สิงห์ดำ เกียรติหมู่ 9” ยอดมวยปี 2545 ซึ่งเป็นญาติทางพ่อ และรุ้งนารายณ์ก็ได้ติดตามดูน้าชายขึ้นเวทีชกหลายครั้ง จนกระทั่งมีครั้งหนึ่งพ่อของเขาได้ส่งขึ้นเวทีไปเปรียบ และขึ้นชกในมวยงานวัดแห่งหนึ่งทั้งที่ไม่เคยซ้อมมวยมาก่อน แต่รุ้งนารายณ์กลับโชว์ฟอร์มคว้าชัยบนสังเวียนมาได้ทันที

รุ้งนารายณ์เล่าให้ฟังว่า หลังจากนั้นก็ได้เริ่มชกมวยมาเรื่อยๆ ซึ่งตอนนั้นพอได้เห็นพี่ๆ น้าๆ ที่บ้านซ้อมมวยก็รู้สึกชอบ ตอนแรกก็ไปซ้อมมวยแถวบ้านเกิดในละแวกเดียวกับค่ายเกียรติหมู่ 9 ของลุงสุดใจ

โดยตอนนั้นผมรู้สึกว่าซ้อมไม่ค่อยยาก พอซ้อมได้จริงๆ จังๆ 2-3 วัน เขาก็พาตัวเองไปเปรียบชกมวยวัดแถวบ้าน ตอนแรกที่ขึ้นชกจริงจังก็ตื่นเต้น แต่ก็สามารถเอาชนะมาได้ในครั้งแรกที่ขึ้นชก

ภายในเวลาเพียงไม่นานเท่านั้น รุ้งนารายณ์เริ่มหลงใหลในการชกมวยไทย และก็เพียรฝึกซ้อมมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนถูกส่งไปขึ้นชกเวทีมวยงานวัดแถวบ้านใน อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ อย่างต่อเนื่องนานถึง 6 ปี

ซึ่งเขาก็โชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม

จนเริ่มอายุย่างเข้าสู่ 13 ปี พ่อของรุ้งนายรายณ์ก็พาตัวเข้ามาฝึกซ้อมมวยอย่างจริงจังยิ่งขึ้นที่ค่ายมวยเกียรติหมู่ 9 กับลุงสุดใจ ปุ่มประโคน

 

รุ้งนารายณ์เล่าอีกว่า ในช่วงตอนแรกๆ นั้น พอมีงานมวยวัดจัดขึ้นที่ไหน พ่อก็พาไปเปรียบต่อยมาเรื่อยๆ ทำให้ส่วนตัวได้มีโอกาสขึ้นชกอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากนั้นเพื่อนๆ พี่ๆ ที่บ้านเลิกชกมวยกันไปหมด และพวกเขาไปทำงาน รวมทั้งไปทำอย่างอื่นๆ กันบ้าง ทำให้ตัวเองไม่มีที่ฝึกซ้อม พ่อก็เลยพามาซ้อมกับลุงใจที่ค่ายเกียรติหมู่ 9 ตั้งแต่อายุ 13 ปี และอยู่ในค่ายนี้มา 10 กว่าปีแล้ว

“หลังจากที่ผมเข้ามาอยู่ในค่ายเกียรติหมู่ 9 แล้ว ทำให้ผมก็ได้เริ่มมีโอกาสออกเดินสายชกมวยทั่วประเทศ และพอน้ำหนักตัวเข้าสู่ 33 กิโลกรัม ลุงใจก็เริ่มพาผมเข้าไปชกในกรุงเทพฯ ซึ่งตอนแรกที่ไปชกก็รู้สึกตื่นเต้นมากครับ แต่ก็สามารถเอาชนะได้ ตอนนั้นดีใจมาก หลังจากนั้นก็เริ่มชกมากขึ้น เริ่มมีประสบการณ์ และเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นจากการไปชกเวทีมวยมาตรฐานในกรุงเทพฯ” รุ้งนารายณ์กล่าว

ยอดนักมวยภูธรเข้ามาขึ้นชกเวทีมวยมาตรฐานเมืองกรุงตอนแรกในนาม” “เพชรศิลา เกียรติหมู่ 9”” แต่ผลงานลุ่มๆ ดอนๆ เพราะกำศึกหนักจากการชกมวยภูธรมาเยอะ ทำให้ลุงสุดใจแก้เคล็ดด้วยการเปลี่ยนชื่อให้เป็น” “รุ้งนารายณ์ เกียรติหมู่ 9″” ในการชกชิงแชมป์ประเทศไทย รุ่น 108 ปอนด์ กับ ใบคาน ว.แสงเทพ และสามารถคว้าชัยได้ทันที

ทำให้หลังจากนั้นรุ้งนารายณ์ก็เริ่มโชว์ผลงานโดดเด่นออกมาอย่างต่อเนื่อง

 

สําหรับเข็มขัดแชมป์เส้นแรกของรุ้งนารายณ์ เกียรติหมู่ 9 คือการคว้าแชมป์ประเทศไทย รุ่น 108 ปอนด์ หลังจากนั้นในปี 2551 เขาคว้าเข็มขัดแชมป์เส้นที่สองในการชิงแชมป์รุ่น 108 ปอนด์ ที่เวทีราชดำเนิน ด้วยการชนะ “สะท้านเมืองเล็ก” ต่อมาเข็มขัดเส้นที่สามได้จากการขยับขึ้นมาชิงแชมป์รุ่น 112 ปอนด์ มวยไทยศึกทรูโฟร์ยู ด้วยการชนะรุ่นพี่ร่วมเมืองบุรีรัมย์ด้วยกันคือ “พลังพล”

ถัดมาเขาขยับรุ่นขึ้นมาคว้าแชมป์รุ่น 115 ปอนด์ เวทีลุมพินี ก่อนที่ล่าสุดกระชากแชมป์รุ่น 118 ปอนด์ มวยไทยศึกทรูโฟร์ยู ได้อีกเส้น ซึ่งที่ผ่านมา รุ้งนารายณ์ปราบมวยดังมาแล้วหลายต่อหลายคน ไม่ว่าจะเป็น “เด็ดขาด ป.พงษ์สว่าง, สะท้านเมืองเล็ก, พลังพล, สราวุธ, สามดี, เพชรสยาม (ตี๋ยูเอส)” ส่วนต่างศึกก็ชนะ “เสาเอก, เขี้ยว พรัญชัย, เพชรสุพรรณ ป.ดาวรุ่งเรือง” และอีกหลายคน

รุ้งนารายณ์สามารถยืนหยัดอยู่บนสังเวียนมานาน 16 ปีเต็มๆ ซึ่งถือว่า เขาเกิดมาจากการเป็น” “ยอดมวยภูธร”” แต่ได้กลายเป็น” “โคตรมวยแห่งยุค”” ที่กวาดเข็มขัดแชมป์มามากมาย และปราบมวยดังมาแล้วนับไม่ถ้วน

จนทำให้เขาได้รับรางวัลนักมวยยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทย ประจำปี 2561 ได้ไม่นานก็กลายเป็นฝันค้างโดนยกเลิกรางวัลดังกล่าว

 

สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากภายหลังที่รุ้งนารายณ์ได้รับรางวัลไปแล้ว 1 วันถัดมา เขาพลาดท่าพ่ายน็อก โยธิน เอฟ.เอ.กรุ๊ป ในยกที่สาม ที่เวทีมวยลุมพินี ทำให้คณะกรรมการพิจารณายกเลิกรางวัล โดยชี้แจงว่า แม้รอบปีที่ผ่านมาจะมีนักชกหลายคนทำผลงานได้ดี แต่ยังไม่มีใครสร้างผลงานยอดเยี่ยมโดดเด่นจนเป็นที่ประจักษ์ ทำให้เป็นเอกฉันท์ว่า จะไม่มีการมอบรางวัลให้แก่นักมวยไทยคนใดเลย…

รุ้งนารายณ์เปิดใจถึงกรณีนี้ว่า ความรู้สึกแรกที่ได้รู้ข่าวว่า โดนถอดไม่ให้รับรางวัลนักมวยไทยยอดเยี่ยมแห่งปีนั้น เสียความรู้สึกอย่างมาก แต่ก็ต้องทำใจ เราเป็นเด็ก เราเป็นนักกีฬา เราต้องยอมรับคำตัดสินของคนใหญ่คนโต เสียดายที่โอกาสจะได้เป็นนักมวยไทยยอดเยี่ยมแห่งปีหลุดมือไป ทั้งที่เหตุผลที่สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศฯ ออกข่าวมาเพราะไปแพ้น็อกให้กับโยธินในวันต่อมาหลังจากประกาศว่าได้รับรางวัล

“ความจริงแล้วไฟต์กับโยธิน ผมต้องทำน้ำหนักขึ้นไปต่อยในเวตที่ไม่ถนัด ผมจะถนัดอยู่ที่ 112-113 ปอนด์ แต่ผมต้องขยับขึ้นไปต่อย 117 ปอนด์กับโยธิน แล้วผมก็พลาด ถ้าผมได้รางวัลนี้จะเป็นเกียรติยศกับตัวผม กับวงศ์ตระกูลของผมอย่างมาก ค่าตัวในการชกของผมก็จะเพิ่มมากขึ้นไปด้วย แต่โอกาสนั้นมันหลุดลอยไปแล้ว”

รุ้งนารายณ์กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

 

แม้ว่ารางวัลนักมวยไทยยอดเยี่ยมจะหลุดมือไป แต่นับเป็นแรงกระตุ้นให้กับรุ้งนารายณ์ได้พิสูจน์ฝีมือตัวเองอีกครั้งว่า เหมาะสมกับการเป็นยอดนักมวยแห่งยุคหรือไม่

โดยไฟต์ต่อไป รุ้งนารายณ์จะมีคิวเข้ามากรุงเทพฯ ต่อยที่เวทีมวยลุมพินี ในศึกมวยไทยเพชรปิยะ วันที่ 9 สิงหาคม พบกับเพชรสมหมาย ส.สมหมาย ซึ่งจะถือเป็นก้าวย่างแรกให้เขาได้แก้ข้อครหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา “รุ้งนารายณ์ เกียรติหมู่ 9” ได้ผ่านบทพิสูจน์แรกแล้วว่า เขาได้เริ่มต้นจากการเป็นยอดนักมวยภูธรก่อนก้าวมาสร้างชื่อเสียงในระดับประเทศ จนทำให้มีค่าตัวในหลักแสน ซึ่งเส้นทางหลังจากนี้จะเป็นการพิสูจน์อย่างแท้จริงว่า เขาคู่ควรสมศักดิ์ศรีกับการเป็น โคตรมวยแห่งยุค หรือไม่

แต่ในท้ายที่สุดแล้ววงการมวยไทยจะต้องหลุดหนีให้พ้นคลื่นใต้น้ำจากค่ายวิกต่างๆ ที่อาจเป็นสิ่งที่ทำให้รางวัลยอดนักมวยไทยไม่อาจสมศักดิ์ศรีอย่างที่ควรจะเป็น…