ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 กรกฎาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
ท่ามกลางข่าวคราวเกี่ยวกับการกดขี่ทางวัฒนธรรมในพื้นที่เขตปกครองตนเองซินเจียง อุยกูร์ เมืองทางตะวันตกสุดของประเทศจีน พื้นที่อาศัยของชาวมุสลิมอุยกูร์
ไม่ว่าจะเป็นมาตรการด้านความมั่นคงอันเข้มข้นในพื้นที่ เรื่อยไปจนถึงการควบคุมตัวคนท้องถิ่นเข้า “ค่ายล้างสมอง” ที่มีสื่อต่างประเทศหลายสำนักออกมาตีแผ่การกระทำของรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีน
มาตรการเหล่านี้เข้มข้นมากขึ้นโดยเฉพาะหลังเหตุการณ์ไล่แทงผู้คนในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เหตุการณ์ที่ทางการจีนกล่าวหาว่าเป็นฝีมือของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในซินเจียง
ท่ามกลางการกวาดล้างที่โลกมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง ทว่ารัฐบาลจีนก็ได้สร้าง “โลกคู่ขนาน” ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าสู่พื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ กลบฝังมุมมองแง่ลบและเลือก “ขาย” มุมมองสวยงามของ “ซินเจียง” ตั้งแต่ “ทะเลทรายทากลามากัน” “เทือกเขาเทียนซาน”
เรื่อยไปจนถึง “วัฒนธรรม” ของชาวอุยกูร์ อย่างการ “ขับร้อง” การ “ร่ายรำ” ส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของคนในท้องที่
ปัจจุบันซินเจียง เมืองที่เคยมีปัญหาความรุนแรงจากชนกลุ่มน้อยนำไปสู่การสอดส่องอย่างเข้มข้นจากรัฐบาลจีนนั้น กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่กำลังเติบโตมากที่สุดในประเทศจีน
การตั้งจุดตรวจค้นทั่วเมือง การมีพื้นที่หวงห้ามที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ล้อมรอบไปด้วยรั้วลวดหนามเป็นวงกว้าง ไม่ได้สร้างความหดหู่ให้กับนักท่องเที่ยวที่ยังคงหลั่งไหลเข้าพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ ปี
ตัวเลขจากหน่วยงานท่องเที่ยวท้องถิ่นของจีนระบุว่า เมื่อปี 2018 มีนักท่องเที่ยวที่ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนเดินทางไปยังซินเจียงเพิ่มขึ้นถึง 40 เปอร์เซ็นต์ มากกว่าอัตราเติบโตของการท่องเที่ยวเฉลี่ยทั่วประเทศที่เพิ่มขึ้นที่ 25 เปอร์เซ็นต์
มุมมองของนักท่องเที่ยวที่เคยร่วมทริปเยือนเมืองเก่าอย่าง “คัชการ์” อดีต “เส้นทางสายไหม” ในยุคโบราณ เมืองตะวันตกสุดของซินเจียง ซึ่งมีชายแดนติดกับอัฟกานิสถาน คีร์กีซสถาน ปากีสถาน ทาจิกิสถาน ซึ่งมีพลเมืองราว 500,000 คนนั้น มองว่าชุมชนชาวอุยกูร์นั้นดูแล้วไม่ได้อาศัยอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวแต่อย่างใด
ราเชล ฮาร์ริส ผู้ศึกษาวัฒนธรรมและเพลงอุยกูร์ ที่คณะเอเชียตะวันออกและแอฟริกันศึกษา มหาวิทยาลัยลอนดอน ระบุว่าความรุนแรงที่สร้างความเจ็บปวดให้กับชาวอุยกูร์และชาวมุสลิม ถูกทำให้ “มองไม่เห็น”
“สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปในเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้แล้วทุกอย่างดูดีไปหมด” ฮาร์ริสระบุ “ทุกอย่างเงียบไปหมดเพราะมีผู้ปกครองที่สร้างความหวาดกลัวเอาไว้กับประชาชน”
หนังสือพิมพ์พีเพิลส์เดลี สื่อกระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระบุว่า หลังจากเหตุไล่แทงคนเมื่อปี 2014 ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซินเจียงทรุดตัวลง รัฐบาลท้องถิ่นจำต้องกระตุ้นด้วยการออกนโยบายให้เงินสนับสนุนนักท่องเที่ยวมูลค่า 500 หยวน หรือราว 2,200 บาทต่อคน
ปัจจุบันรัฐบาลซินเจียงตั้งเป้าที่จะมีนักท่องเที่ยวมาเยือนถึง 300 ล้านคนในปี 2020 และตั้งเป้าโกยรายได้จากการท่องเที่ยวในพื้นที่มากถึง 6,000 ล้านหยวน หรือราว 27,000 ล้านบาท
ขณะที่แพ็กเกจท่องเที่ยวในพื้นที่ซินเจียงนั้น ถูกกำหนดให้ชมแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติอย่าง “ทะเลสาบคาราคูล” เรื่อยไปจนถึงเทือกเขาเทียนซาน นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการสัมผัสวัฒนธรรมชนกลุ่มน้อย ในรูปแบบของการแสดงร่ายรำ หรือแม้แต่การเยี่ยมชมบ้านของชาวอุยกูร์ก็มีด้วยเช่นกัน
จอช ซัมเมอร์ส ชาวอเมริกันที่อาศัยในซินเจียงมากว่า 10 ปี และเขียนหนังสือแนะนำการท่องเที่ยวในพื้นที่ระบุว่าวัฒนธรรมอุยกูร์ถูกนำเสนอให้เหลือเพียงแค่ “เพลง” และ “การร่ายรำ” ในแบบง่ายๆ เท่านั้น
“สิ่งที่ทำให้ผมเสียใจคือ สุดท้ายแล้ววัฒนธรรมอุยกูร์เพียงบางส่วนเท่านั้นที่จะถูกเก็บรักษาเอาไว้เพียงเพื่อการท่องเที่ยว” ซัมเมอร์สระบุ
ซัมเมอร์สระบุว่า วัฒนธรรมอุยกูร์ อย่างการทำกระดาษ การตั้งศาลเจ้าในทะเลทรายนั้นถูกละเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีมาตรการความมั่นคงเข้มข้นขึ้น แม้แต่ช่างฝีมือในการทำมีด “ยิงกิชา” ที่เป็นอุตสาหกรรมในท้องถิ่นก็ค่อยๆ เลือนหายไป จำนวนร้านค้าในชุมชนก็เริ่มลดจำนวนลงเรื่อยๆ
การรวมตัวกันของชาวอุยกูร์ในการแสดงออกทางวัฒนธรรมผ่านการร้องรำตามธรรมชาติเริ่มหายไป ผลจากกฎหมายความมั่นคงของจีนที่ห้ามรวมตัวกันจำนวนมาก
ตลาดยามค่ำคืนถูกควบคุมมากขึ้น เช่น ตลาดในเมืองโหตันที่เคยเป็นตลาดกลางแจ้ง ปัจจุบันกลายเป็นตลาดที่อยู่ใต้หลังคาเต็นท์สีขาว โคมไฟห้อยจากหลังคา เรียงรายไปด้วยร้านรวงติด “ธงชาติจีน” ขายเนื้อแกะย่าง
แต่ก็รวมไปถึงซูชิ และอาหารทะเลด้วย
รายงานระบุว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้นำทางวัฒนธรรมของชาวอุยกูร์หายตัวไปหลายต่อหลายคน ส่งผลให้เกิดความสงสัยว่าบุคคลเหล่านี้อาจถูกทางการจีนควบคุมตัวเอาไว้
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ รัฐมนตรีต่างประเทศตุรกีระบุว่า นักดนตรีและกวีชื่อดังชาวอุยกูร์อย่าง “อับดูเรฮิม เฮยิต” เสียชีวิตระหว่างถูกทางการจีนควบคุมตัว ส่งผลให้ทางการจีนต้องเผยแพร่ภาพวิดีโอที่เป็นหลักฐานให้เห็นนักโทษที่แนะนำตัวเองว่าคือนายเฮยิต เป็นหลักฐานตอบโต้ ขณะที่นักแสดงตลกชื่อดังชาวอุยกูร์อย่างอดิล มิจิต ก็หายตัวไปเช่นกันจากโพสต์ข้อความผ่านโลกออนไลน์ของลูกเขย
การท่องเที่ยวใน “ซินเจียง” ของจีนที่กำลังเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ มุมหนึ่งมองได้ว่าเป็นความพยายามในการนำเสนอแง่มุมที่ดีของพื้นที่ ปกปิดสิ่งเลวร้ายซึ่งถูกสื่อตะวันตกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการกดขี่ทางวัฒนธรรมต่อคนในพื้นที่อย่างรุนแรง
อีกมุมหนึ่งก็มองได้ว่า หรือนี่จะเป็นอีกผลงานของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่กำลังจะสำเร็จ ในการล้างสมองประชาชนไม่ให้แตกแถว และอยู่ในร่องในรอยในฐานะส่วนหนึ่งของจีนไปโดยปริยาย