ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 กรกฎาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ที่ประชาชนยอมรับน้อยที่สุดในสังคมไทย
และขณะที่อดีตนายกฯ หลายรายมีคนไม่ชอบจนถึงชังด้วยหลายสาเหตุ ประชาชนที่ชัง พล.อ.ประยุทธ์นั้นมีมากจนพรรคที่มี ส.ส.ในสภาสูงสุดในการเลือกตั้งได้แก่พรรคต่อต้านคุณประยุทธ์ ส่วนคุณประยุทธ์ก็ได้เป็นนายกฯ เพราะวุฒิสภาซึ่งตัวเองตั้งเอง
คุณทักษิณ ชินวัตร กับคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาจมีคนบางกลุ่มต่อต้านอย่างรุนแรง
แต่ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งเพื่อให้ประชาชนได้แสดงออกอย่างเท่าเทียมกันทุกคน ผลก็คือทั้งสองท่านชนะเลือกตั้งทุกครั้งตั้งแต่ปี 2554
ซ้ำยังเป็นชัยชนะที่ประชาชนเลือกพรรคของทั้งคู่ 14-16 ล้าน ส่วนพรรคคู่แข่งมีแต่คะแนนนิยมถดถอยลง
ในยุคที่ฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยยังไม่กล้าเขียนรัฐธรรมนูญสกัดพรรคที่ชนะเลือกตั้งจากการตั้งรัฐบาล ความนิยมต่อคุณทักษิณและคุณยิ่งลักษณ์มีมากจนประชาธิปัตย์เปลี่ยนหัวหน้าสามคนก็ยังแพ้
และแม้แต่วิธีตั้งม็อบยึดทำเนียบ, ยึดสนามบิน และยัดข้อหาร้ายแรงอื่นๆ ก็ไม่ทำให้ความนิยมของประชาชนเปลี่ยนไป
ถ้าคุณทักษิณและคุณยิ่งลักษณ์เป็นตัวอย่างของผู้นำที่ประชาชนเลือกมากจนคู่แข่งพังพินาศอย่างย่อยยับ คุณประยุทธ์ก็เป็นตัวอย่างของคนที่ประชาชนยอมรับน้อยจนต้องสร้างรัฐธรรมนูญล็อกสเป๊กให้ตัวเองเป็นนายกฯ ให้ได้ ต่อให้คนส่วนใหญ่จะไม่เอาด้วยจนเลือกพรรคที่หนุนคุณประยุทธ์แค่ 8 ล้านเท่านั้นเอง
ด้วยเป้าหมายในการยึดทำเนียบให้เป็นของผู้นำที่ประชาชนไม่ต้องการ องค์ประกอบในการตั้งรัฐบาลจึงมาจากพรรคการเมืองซึ่งมีปัญหาความยอมรับทั้งสิ้น
พลังประชารัฐถูกโจมตีว่าเป็นพรรค “พลังดูด” จนมี ส.ส.แค่ 116 เท่านั้น, ประชาธิปัตย์ถดถอยจน ส.ส.เหลือแค่ 53 ส่วนชาติไทยพัฒนามี ส.ส.เหลือแค่ 10 คน
แม้ภูมิใจไทยจะไม่มีปัญหาเรื่องความยอมรับเท่าพรรคอื่นในรัฐบาล ภูมิใจไทยก็มีองค์ประกอบหลายอย่างที่ทำให้พรรคอุ้มความถดถอยของรัฐบาลได้น้อยมาก แม้คราวนี้ประชาชน 3.7 ล้าน จะลงคะแนนเลือก ส.ส.ของพรรคถึง 51 คน เท่ากับหนึ่งเท่าจากการเลือกตั้งปี 2554 ที่มีผู้ลงคะแนนเลือกพรรคแค่ 1.2 ล้านคน
ขณะที่รัฐบาลประยุทธ์ 1 จรรโลงอำนาจรัฐประหารโดยตั้งพวกพ้องและลูกสมุนไปดำรงตำแหน่งการเมืองต่างๆ ใน “แม่น้ำห้าสาย” รัฐบาลประยุทธ์ 2 ได้อำนาจโดยผสมผสาน พล.อ.ประยุทธ์กับพรรคการเมืองและวุฒิสภาที่แปรรูปลูกสมุนในแม่น้ำห้าสายเป็น 250 ส.ว. ซึ่งมีปัญหาเรื่องความยอมรับพอๆ กัน
ด้วยต้นทุนทางการเมืองซึ่งจากคนหลายกลุ่มที่มีปัญหาดังที่กล่าวมา คุณประยุทธ์ไม่มีทางสถาปนาอำนาจซึ่งประชาชนยอมรับอย่างกว้างขวางได้แน่ๆ คณะรัฐบาลบนส่วนผสมนี้จึงมีโอกาสสร้างคะแนนนิยมในประชาชนได้น้อยมาก ทำได้ก็แค่พยุงไม่ให้ความนิยมถดถอยจากระดับที่ต่ำมากอยู่แล้วในปัจจุบัน
โดยปกตินั้นรัฐบาลที่ประสบความสำเร็จจะต้องทำงานสามส่วนให้ได้ผลอย่างดี
หนึ่งก็คือ การสร้างบรรยากาศทางการเมืองที่เปิดกว้างจนประชาชนไม่รู้สึกว่าถูกอำนาจรัฐคุกคามตลอดเวลา
สองก็คือ การทำมาหากินของประชาชนจะต้องดีขึ้น
และสามก็คือ การทำให้ประเทศเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
อย่างไรก็ดี ห้าปีแรกของประยุทธ์ 1 ผ่านไปโดยไม่มีผลงานอะไรน่าประทับใจนัก
การปกครองแบบเผด็จการทำให้การจับกุมและการข่มขู่ประชาชนลุกลามถึงขั้นพลเรือนถูกจับเพียงเพราะโพสต์เฟซหรือคุยแชต, การอุ้มประชาชนเข้าค่ายทหารกลายเป็นเรื่องปกติ และทหารดำเนินคดีเห็นต่างจนเป็นเรื่องธรรมดา
ภายใต้การบริหารประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์หลังรัฐประหารปี 2557 อำนาจรัฐของรัฐบาลและลูกสมุนคือภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตประชาชนต่อเนื่องมาครึ่งทศวรรษ ความรู้สึกว่าทหารจะอุ้มทุกคนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทั้งในชีวิตจริงและใน “โซเชียล” เป็นสำนึกที่แพร่หลายกว้างขวางจนปัจจุบัน
เฉพาะในเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์แสดงท่าทีว่าจะไม่หยุดพฤติกรรมการใช้อำนาจรัฐแบบนี้แน่ๆ การลงนามยกเลิกคำสั่ง คสช.ในช่วงก่อนปิดฉากรัฐบาลประยุทธ์ 1 จึงไม่ได้ยกเลิกคำสั่ง คสช.ที่ 3/2558 และ 13/2559 ที่ให้เจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจอุ้มประชาชนโดยอ้างว่าเอาตัวไป “ปรับทัศนคติ” ได้ต่อไป
ไม่ว่าจะในระบอบการปกครองแบบใด รัฐบาลที่เขียนกฎหมายให้ตัวเองมีอำนาจจับประชาชนโดยอ้างว่า “ปรับทัศนคติ” ล้วนเป็นรัฐบาลที่เฮงซวยทั้งสิ้น แต่สิ่งที่เลวร้ายกว่ารัฐบาลเฮงซวยคือรัฐบาลที่กะล่อนจนทำเรื่องแย่ๆ ด้วยวิธีมดเท็จว่าคนจับไม่ใช่ทหาร แต่คือกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.)
คุณประยุทธ์ที่ตั้งตัวเองเป็นนายกฯ ในปี 2557 และสืบทอดอำนาจในปี 2562 คือคนที่ต้องถูกตำหนิที่สุดในการประกาศกฎหมายซึ่งเปิดทางให้เจ้าหน้าที่รัฐคุกคามประชาชน
แต่คนที่อัปยศยิ่งกว่าคือ คุณวิษณุ เครืองาม ที่บิดเบือนว่าคำสั่งนี้ไม่ใช่ “ทหารอุ้มประชาชน” ทั้งที่ผู้บัญชาการทหารบกคือรองผู้บังคับบัญชา กอ.รมน.
คุณประยุทธ์ชอบเพ้อเจ้อว่าการเป็นนายกฯ ที่รัฐสภาเลือกในปี 2562 ทำให้ “ประยุทธ์ 2” เป็นรัฐบาลประชาธิปไตย แต่ไม่มีระบอบประชาธิปไตยที่ไหนอนุญาตให้รัฐจับประชาชนแบบที่คุณประยุทธ์ทำอย่างที่ทำมาห้าปีแล้ว การเสพติดอำนาจทรราชข้อนี้คือหลักฐานว่าคุณประยุทธ์เป็นเผด็จการไม่มีเปลี่ยนแปลง
เมื่อคำนึงว่าคุณประยุทธ์ตั้งผู้บัญชาการทหารบกเป็นสมาชิกวุฒิสภาซึ่งมีอำนาจเลือกนายกฯ, ร่วมอภิปรายนโยบาย และผลักดันกฎหมายปฏิรูปต่างๆ การที่ ผบ.ทบ.เป็นรองผู้อำนวยการ กอ.รมน. ทำให้น่ากังวลว่า ผบ.ทบ.จะมีการใช้อำนาจนี้เพื่อข่มขู่หรือจับกุมคนที่วิพากษ์วิจารณ์ ส.ว.และนายกรัฐมนตรีด้วยเช่นกัน
จริงอยู่ว่าการมีสภาผู้แทนฯ และพรรคการเมืองเพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลนั้นดีกว่าไม่มี แต่ภายใต้กติกาที่ พล.อ.ประยุทธ์ธำรงอำนาจในการคุกคามประชาชนไว้อย่างครบถ้วน ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าทหารจะไม่จับ ส.ส.หรือพรรคการเมืองซึ่งทำหน้าที่ตรงไปตรงมาจน พล.อ.ประยุทธ์และเครือข่ายไม่พอใจ
คนทุกกลุ่มเห็นตรงว่า “ประยุทธ์ 1” ล้มเหลวทางเศรษฐกิจจนเป็นฉันทานุมัติของสังคม ความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคทำให้ประเทศมีปัญหาการลงทุนภาคเอกชนต่ำติดต่อกันห้าปีแล้ว เศรษฐกิจที่ฝืดเคืองจนการหากินติดขัดและเงินในกระเป๋าประชาชนหดหายคือเรื่องที่คุณประยุทธ์แก้ไม่ได้จนปัจจุบัน
ห้าปีของ “ประยุทธ์ 1” คือห้าปีที่เศรษฐกิจเดินหน้าเพราะเอาเงินภาษีประชาชนมากระตุ้นเศรษฐกิจไทย แต่ความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจในช่วงนี้รุนแรงจนวิธีกระตุ้นเศรษฐกิจไม่เห็นผลนัก ไม่ต้องพูดว่านโยบายกดค่าแรงของ “ประยุทธ์ 1” ทำให้ผลทางเศรษฐกิจกระจายสู่คนส่วนใหญ่น้อยมากเหลือเกิน
“ประยุทธ์ 2” รับช่วงความล้มเหลวทางเศรษฐกิจจาก “ประยุทธ์ 1” โดยคุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ซึ่งไม่มีน้ำยาฟื้นเศรษฐกิจไทยมาแล้วหลายปี ส่วนรัฐมนตรีเศรษฐกิจคนอื่นๆ ล้วนไม่ใช่คนที่ได้ยินชื่อแล้วมีความหวังมากนัก คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ และคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่ใช่ชื่อที่สังคมเชื่อว่าจะทำอะไรกับเศรษฐกิจภายในอย่างลึกซึ้งได้แน่นอน
คุณประยุทธ์และคุณสมคิดโวยตลอดห้าปีว่าภาคเอกชนไม่ยอมลงทุน และด้วยคณะรัฐมนตรีแบบนี้ โอกาสที่เอกชนทั้งภายในและภายนอกจะควักเงินลงทุนเพื่อทำกำไรมีไม่มากนัก
“ประยุทธ์ 2” คงเลือกวิธีกดค่าแรงเพื่อสังเวยภาวะลงทุนต่ำแน่ๆ จนความฝืดเคืองของเศรษฐกิจรากหญ้าจะเป็นปัญหาต่อไป
สำหรับการฟื้นสถานะของประเทศในเวทีโลกทั้งด้านเศรษฐกิจและวิเทศคดี ความถดถอยที่เกิดขึ้นโดย “ประยุทธ์ 1” ติดต่อกันห้าปีนั้นไม่มีแววว่า “ประยุทธ์ 2” จะแก้ได้ในระยะอันใกล้
บรรษัทข้ามชาติมองเวียดนามเป็นเป้าหมายของการลงทุนก่อนไทยหลายปีแล้ว และอีกนานกว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง
พล.อ.ประยุทธ์พยายามอ้างว่าไทยประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาการบิน, ประมง, การค้าเสรี ฯลฯ แต่สิ่งที่รัฐบาลทำจริงๆ คือการแก้ปัญหาที่เกิดในสมัยตัวเองแทบทั้งสิ้น การวางยุทธศาสตร์เชิงรุกให้ประเทศเป็นเรื่องที่ “ประยุทธ์ 1” ทำไม่ได้ในห้าปีนี้ และยังไม่เห็นว่า “ประยุทธ์ 2” จะทำได้แต่อย่างใด
พฤติกรรมพูดข้างเดียวของพล.อ.ประยุทธ์เป็นเรื่องที่คนทั้งสังคมเอือมระอา เพราะเมื่อใดที่ผู้มีอำนาจพูดข้างเดียว เมื่อนั้นก็หมายความว่าผู้มีอำนาจกำลังโกหกประชาชนอยู่ และคำแถลงวันปิดฉาก คสช.ก็เป็นอีกครั้งที่ความเท็จจากปากผู้มีอำนาจแพร่ระบาดสู่ประชาชนโดยผู้พูดไม่ได้แสดงอาการละอายแม้แต่นิดเดียว
พล.อ.ประยุทธ์สดุดีตัวเองว่า “ประยุทธ์ 1” ทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้าอย่างดี และจากนี้ “ประยุทธ์ 2” ซึ่งมีรัฐบาลและสภาผู้แทนจากการเลือกตั้งจนเป็นประชาธิปไตย 100% จะทำให้ประเทศเจริญยิ่งขึ้นไปอีก แต่ข้อเท็จจริงคือ “ประยุทธ์ 1” ทำให้ประเทศถดถอยจน “ประยุทธ์ 2” ไม่มีทางฟื้นประเทศได้เลย
ความหวังเดียวในระบบการเมืองตอนนี้คือพรรคการเมือง แต่กติกาของประเทศทำให้พรรคฝ่ายค้านทำอะไรเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่ได้
พรรคร่วมรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยจึงต้องมีบทบาทในการช่วยให้ประเทศไม่ย่อยยับไปกับ “ประยุทธ์ 2” ไม่ใช่เป็นรัฐมนตรีเพื่อสายสะพายบนคราบน้ำตาประชาชน