จรัญ มะลูลีม : “สหรัฐ-อิหร่าน” ความสัมพันธ์หม่นๆ จากสงครามตัวแทนถึงนิวเคลียร์

จรัญ มะลูลีม

สหรัฐ-อิหร่าน กับสภาพเขาควายแห่งความขัดแย้ง (2)

มีผู้วิจารณ์ว่าการตัดสินใจยกเลิกการโจมตีอิหร่านของทรัมป์อาจเป็นการยืนยันกับอิหร่านว่าจุดมุ่งหมายของเขาคือการพูดคุย มิใช่ความขัดแย้ง และอาจจะตามมาด้วยการสานต่อความสัมพันธ์ทางการทูตขึ้นมาใหม่

ทั้งนี้ หากทรัมป์ยังคงใช้กุศโลบายการกดดันต่อไป ความตึงเครียดก็จะพุ่งสูงขึ้น ช่องแคบฮอร์มุซก็จะตกอยู่ในอันตราย และการปลุกเร้าไม่ว่าจากฝ่ายใดหลังมีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นก็อาจนำไปสู่การปะทะและการต่อสู้ที่จะกลายเป็นการเคลื่อนเข้าสู่อันตรายอย่างแท้จริง

สหรัฐลืมไปแล้วว่านักต่อสู้ชีอะฮ์มีบทบาทสำคัญในทางการทหารจนสามารถเอาชนะกองกำลังไอเอส (Islaimc State) หรือดาอิชห์ (Daesh) ในภูมิภาคมาแล้ว

จำนวนมากของนักต่อสู้เหล่านี้มีความใกล้ชิดและผูกพันกับอิหร่านและเป็นผู้ที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับอิหร่านเพื่อกวาดล้างขบวนการไอเอสออกไปจากแผ่นดินอิรัก

 

ทรัมป์ประกาศชัยชนะเหนือไอเอสก่อนที่จะประกาศถอนทหารออกจากซีเรีย อย่างไรก็ตาม ที่ปรึกษาสายเหยี่ยวนำโดยโบลตันและปอมปิโอ กลับทำให้ทรัมป์ตัดสินใจไปในทางตรงกันข้ามและคงทหารเอาไว้ในซีเรียต่อไป สหรัฐอ้างว่าการคงทหารเอาไว้ในซีเรียมีความมุ่งหมายสำคัญอยู่ที่การลดอิทธิพลของอิหร่านในพื้นที่

ฝ่ายบริหารของทรัมป์ถือว่ากองกำลังฮามาส (Hamas) เป็นตัวแทนของอิหร่าน ในขณะที่อิหร่านและประเทศมุสลิมส่วนใหญ่ให้การยอมรับว่าเป็นกองกำลังที่ชอบธรรมของปาเลสไตน์ ซึ่งปัจจุบันสมาชิกของกองกำลังถูกสังหารโดยอิสราเอลเป็นจำนวนมาก

เมื่อกองกำลังฮามาสจากฉนวนกาซ่าตอบโต้อิสราเอลด้วยอาวุธที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเอง พวกเขาก็ถูกวาดภาพให้เป็นผู้ก่อการร้ายที่ได้รับการช่วยเหลือและสนับสนุนโดยรัฐบาลอิหร่าน

นอกจากนี้ สหรัฐยังประกาศให้กองกำลังฮิซบุลลอฮ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลผสมในเลบานอนเป็นผู้ก่อการร้ายเช่นกัน

 

ทั้งฮิซบุลลอฮ์และฮามาสมีบทบาทสำคัญในการต่อต้าน ทั้งอิสราเอลและขบวนการไอเอส รวมทั้งการหยุดยั้งการขยายตัวของขบวนการไซออนิสต์ ฮิซบุลลอฮ์มีบทบาทสำคัญในการทำให้ทหารสหรัฐที่อยู่ในเลบานอนในทศวรรษ 1980 เป็นต้นไปต้องยุติบทบาทลง

กองกำลังฮิซบุลลอฮ์เป็นกองกำลังเดียวที่บีบให้ทหารอิสราเอลต้องพบกับความหยุดนิ่งเมื่ออิสราเอลรุกรานเลบานอนในปี 2006

สำหรับโครงการนิวเคลียร์เพื่อสันติของอิหร่านที่สหรัฐถอนตัวออกไปจากข้อตกลงที่อิหร่านมีกับมหาอำนาจอื่นๆ และเยอรมนี นั้นประธานาธิบดีโรฮานีกล่าวกับสื่อของอิหร่านว่าอิหร่านจะเริ่มสร้างคลังยูเรเนียมขนาดเล็กและพลังน้ำที่ใช้ในเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขึ้นมาใหม่

สิ่งที่ไม่เหมือนกับสหรัฐก็คืออิหร่านมิได้ประกาศยกเลิกข้อตกลงทั้งหมด โรฮานีกล่าวว่า จะให้เวลากับประเทศต่างๆ ในยุโรป 60 วัน เพื่อทำตามข้อสัญญาที่มีต่อกัน

เยอรมนี ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรเป็นประเทศที่ยังคงปฏิบัติตามข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน ซึ่งทำให้การแซงก์ชั่นอิหร่านยุติลง ในขณะที่ทรัมป์ได้ออกกฎเกณฑ์หลังจากการคว่ำบาตรอิหร่านว่าทุกประเทศควรจะหยุดค้าน้ำมันกับอิหร่าน

โรฮานีประธานาธิบดีของอิหร่านกล่าวว่า “หนทางที่เราเลือกมิใช่หนทางของสงคราม แต่เป็นหนทางทางการทูต แต่เป็นการทูตด้วยภาษาใหม่และตรรกะใหม่”

หากประเทศยุโรปไม่สามารถรักษาข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ทำกับอิหร่านไว้ได้ ประธานาธิบดีอิหร่านก็เตือนว่า ประเทศของเขาก็คงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในเมืองอารัก (Arak) ขึ้นมาใหม่

โรฮานีกล่าวว่า หากขาดความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจอิหร่านก็จะไม่พิจารณาถึงข้อจำกัดใดๆ ในเรื่องพลังนิวเคลียร์

 

เป็นที่ยอมรับว่าอิหร่านเป็นหนึ่งในประเทศที่มีทักษะในการผลิตอาวุธที่มาจากวัตถุดิบชั้นดีเช่นกัน แม้ว่าอิหร่านจะไม่ได้เน้นในเรื่องนี้มากนักก็ตาม

ทั้งรัสเซียและจีนซึ่งเป็นผู้ลงนามในข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านด้วยเช่นกันตำหนิสหรัฐที่สร้างสถานการณ์ที่อันตรายขึ้นมา

รัฐมนตรีต่างประเทศของจีนให้การยอมรับจุดยืนของอิหร่านและคัดค้านอย่างรุนแรงต่อการแซงก์ชั่นอิหร่านแต่เพียงลำพังของสหรัฐ

เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซีย กล่าวกับผู้สื่อข่าวหลังจากพบปะกับรัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านที่กรุงนิวยอร์กในเดือนพฤษภาคมด้วยการวิพากษ์

“สถานการณ์ที่ไม่อาจยอมรับได้” ที่สร้างขึ้นโดยสหรัฐ

ประธานาธิบดีของอิหร่านได้เชิญประเทศที่ลงนามในข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านมาคุยกันรอบใหม่ แต่ก็ย้ำว่า “ข้อตกลงปี 2015” จะต้องเป็นพื้นฐานสำหรับการพูดคุยในอนาคต

ในการพบปะอย่างเร่งด่วนในกรุงริยาดเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมารัฐบาลซาอุดีอาระเบียก็พยายามอย่างที่สุดที่จะปลุกเร้าความขัดแย้งระหว่างสหรัฐ ซาอุดีอาระเบียและ UAE ขึ้นมาอีกครั้ง

องค์การความร่วมมืออิสลาม (Organisation of Islamic Cooperation) หรือ OIC และสันนิบาตอาหรับ (Arab League) มีการพบปะพูดคุยโดยเน้นถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่จะลดอิทธิพลของอิหร่านในพื้นที่ลง

ผู้แทนอิรักปฏิเสธแถลงการณ์ที่ออกมาหลังจากการประชุมสุดยอดดังกล่าว ที่อ้างว่าวิกฤตการณ์ในภูมิภาคมาจากอิหร่าน ในการประชุม OIC อีกเช่นกันที่กษัตริย์ซาอุดีอาระเบียกระตุ้นให้ประชาคมนานาชาติใช้ทุกวิถีทางที่จะหยุดยั้งรัฐบาลอิหร่านจากการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการต่างๆ ของประเทศอื่นๆ

ในขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านกล่าวว่า ประเทศของเขาต้องการเยือนประเทศอาหรับที่เป็นเพื่อนบ้านเพื่อสถาปนาความสัมพันธ์ขั้นปกติกับประเทศแถบอ่าวเปอร์เซียและเรียกร้องให้มีการลงนาม “ข้อตกลงไม่รุกรานต่อกัน” ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์รีบปฏิเสธข้อเสนอของอิหร่านโดยทันที

โบลตันและพรรคพวกของเขาต้องการหยุดยั้ง “แกนของการขัดขืน” ซึ่งต่อสู้ร่วมกันมาตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นไประหว่างฮิซบุลลอฮ์ ซีเรียและอิหร่าน ซึ่งเป็นพันธมิตรที่สามารถสร้างแรงกดดันที่มาจากอิสราเอลและสหรัฐในปัญหาปาเลสไตน์ได้

 

รัฐบาลอิรักก็ถูกดึงเข้ามาเป็นพันธมิตรกับกลุ่มก้อนของอิหร่านด้วย เจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐบาลอิรักได้เตือนฝ่ายบริหารของทรัมป์ให้คำนึงถึงผลที่จะตามมา ถ้าคิดจะทำสงครามต่อต้านอิหร่าน

รัฐบาลอิรักยังได้ยืนกรานต่อไปอีกว่าจะไม่แซงก์ชั่นรัฐบาลอิหร่านตามที่ฝ่ายบริหารของทรัมป์ต้องการ

สหรัฐสั่งให้ถอนนักการทูตทั้งหมดออกจากกรุงแบกแดดในสัปดาห์ที่สามของเดือนพฤษภาคม (2019) โดยอ้างว่าความมั่นคงของตนถูกคุกคาม

กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติของอิหร่านมีบทบาทสำคัญในการปกป้องอิหร่านในระหว่างที่มีสงครามกับอิรัก (1980-1988) ทั้งนี้ กระทรวงต่างประเทศของอิหร่านถือว่าทหารของสหรัฐทั้งหมดที่ทำงานอยู่ภายใต้ศูนย์บัญชาการกลางของสหรัฐ (Centcom) เป็นผู้ก่อการร้าย

ผู้นำสูงสุดของสภาการทหารแห่งชาติของอิหร่านกล่าวว่าการประกาศถึงการเป็นปรปักษ์กับอิหร่านจากฝ่ายบริหารของทรัมป์เป็นส่วนหนึ่งในการปลุกเร้า “สงครามทางจิตวิทยา” ซึ่งประดิษฐ์ขึ้นมาต่อต้านประเทศอื่นๆ

ที่ปรึกษาอาวุโสของผู้นำทางจิตวิญญาณอะยาตุลลอฮ์ อะลี คอเมเนอี (Ayatallah Ali Khamenei) กล่าวว่า สหรัฐนั้นไม่ได้มีทั้งความต้องการและมีความสามารถ “ที่จะมาต่อต้านอิหร่าน”

ในเวลาเดียวกัน อิหร่านก็ส่งสัญญาณให้เห็นว่าการแซงก์ชั่นที่กระทำโดยสหรัฐต่ออิหร่านนั้นจะส่งผลต่อข้อตกลงอิหร่านสหรัฐอย่างถาวร

ประธานาธิบดีฮัซซัน โรฮานี ประกาศในสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม (2019) ว่า รัฐบาลของเขาจะเลิกปฏิบัติตามข้อตกลงว่าด้วยนิวเคลียร์ที่มีอยู่ต่อไป