ประกวดเรื่องสั้น : ห้องและหมวก

โดย จารี จันทราภา

ชิต เพื่อนผมเช่าอพาร์ตเมนต์ไว้ห้องหนึ่ง แต่ด้วยหน้าที่การงานการเป็นทหารของเขา ทำให้ต้องอยู่ในค่ายทหารมากกว่า และในค่ายก็มีที่พักให้แล้ว อพาร์ตเมนต์ห้องนั้นจึงมักปล่อยว่างไว้ เพื่อนหลายคนมักโทร.ไปขอใช้ห้องเสมอๆ เพื่อนในกลุ่มของเรามีกันหลายคน ทุกคนมีกุญแจห้องนี้เหมือนกันหมด ผมเป็นคนเดียวที่ไม่เคยขอใช้บริการห้องของชิตเลย ด้วยความที่ในกลุ่มผมเป็นคนเดียวที่มีครอบครัวแล้ว บวกกับตั้งแต่มีลูก ผมไม่ค่อยรู้สึกสนุกเวลาเที่ยวเตร่ดื่มกินกับเพื่อนๆ ยามอยู่กับลูกเมียรู้สึกมีความสุขมากกว่า

แต่ครั้งนี้มีเหตุจำเป็นต้องมาขอใช้ห้องของชิต เนื่องจากว่ารุ่งขึ้นเป็นวันสอบเข้าเรียนต่อชั้น ม.1 ของลูกชาย บ้านผมไกลจากโรงเรียนที่จะเข้าสอบพอสมควร ผมไม่อยากใช้เวลาเดินทางตอนเช้านานจนลูกเหน็ดเหนื่อย จึงตัดสินใจขออาศัยห้องเพื่อนที่อยู่ใกล้โรงเรียนห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตรเอง

เรามากันก่อนหนึ่งวัน และมาถึงกันตอนเช้า ผมได้กุญแจจากวิช เพื่อนอีกคนที่มาใช้ห้องบ่อย ส่วนชิตนั้นโทร.ขออนุญาตแล้ว ชิตบอกติดราชการสำคัญให้ใช้ได้เต็มที่ จะอยู่กี่วันก็ได้ ผมตั้งใจแค่สอบเสร็จก็จะกลับ จึงมาอยู่แค่คืนเดียว

ตอนมาถึงสภาพห้องเรียบร้อยสะอาดดี อาจจะเพราะว่าทั้งวิชและคนอื่นมาใช้บ่อย ผมฟังเอาจากเพื่อนๆ คุยให้ฟัง เมื่อเปิดประตูห้องออก ผมมองเห็นที่แขวนหมวกอยู่หลังบานประตูห้อง ผมกับภรรยาและลูกจึงแขวนหมวกที่สวมมาบนที่แขวนนั้น จากที่ยืนอยู่มองไปเห็นเก้าอี้รับแขกหนังสีดำตัวใหญ่สามตัววางเรียงกัน ภายในยังมีห้องย่อยอีกสองห้อง แน่นอนเป็นห้องน้ำอีกหนึ่ง อีกห้องเป็นห้องนอน มีระเบียงด้านนอกซึ่งกั้นด้วยกระจกใสและผ้าม่าน ผมวางกุญแจตรงโต๊ะมุมติดเก้าอี้รับแขกแล้วเดินไปรูดผ้าม่านจนสุด ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้รับแขกแล้วรู้สึกว่านั่งทับอะไรบางอย่างเข้า

หันดูจึงเห็นเป็นหมวกทรงติงลี่ ทรงหมวกออกแนวแฟชั่น ทำด้วยหนังสีดำสีเดียวกันกับเก้าอี้รับแขกและลักษณะหนังก็เหมือนผิวของเก้าอี้รับแขกมาก ผมจึงไม่เห็นแต่แรก

 

ผมกวาดตามองห้องที่ดูสว่างและโล่ง คงเพราะแสงแดดที่รับผ่านกระจกเข้ามาทำให้ห้องเป็นอย่างนี้ ภรรยาผมวางกระเป๋าเสื้อผ้าตรงมุมห้อง ส่วนเจ้าลูกชายก็เดินไปยืนชิดกระจกแล้วมองออกไปด้านนอก ก่อนจะพูดว่า “สูงๆ แบบนี้ แปลกดีนะพ่อ”

บ้านของเราแค่สองชั้นและผมเองก็ลืมนึกไปว่าห้องนี้อยู่บนชั้น 15 จำได้ว่าชิตเคยบอกว่าอพาร์ตเมนต์นี้มีถึง 20 ชั้น เมื่อลูกพูดถึงเรื่องความสูง ผมจึงนึกไปถึงเรื่องความสูงของตัวอาคาร แล้วหันเปิดประตูกระจกออกไปยืนริมระเบียงที่แม้จะกั้นด้วยผนังเหล็กดัดจนสุดความสูงของผนังห้อง แต่เมื่อมองลงไปก็อดหวิวๆ ไม่ได้ จนลืมเรื่องหมวกทรงติงลี่ที่เจอบนโซฟา

หันกลับมา ภรรยาผมก็พูดเรื่องหมวก “คงมีใครลืมทิ้งไว้มั้ง” ผมหันไปดู เห็นเธอก้มมองที่หมวกแล้วชี้บอก “หมวกแปลกดีนะพี่”

“พี่ก็เพิ่งเห็นตะกี้ คงมีใครลืมไว้แหละ” ผมเล่าเรื่องห้องให้ภรรยาฟังมาแล้ว ห้องนี้ถูกใช้เพื่อการมากมาย ของเพื่อนแต่ละคนซึ่งผมก็คร้านจะไปไล่ถามว่าใครใช้ทำอะไรไปบ้าง

แต่เมื่อพากันเข้าไปห้องนอนกลับเจอหมวกแก๊ปสีน้ำเงินของทหารอากาศใบหนึ่งวางบนเตียงและหมวกเบเร่ต์สีน้ำตาลวางบนเก้าอี้ในห้องนอนอีกใบหนึ่ง

“แปลกนะ” ผมเอ่ยกับภรรยา

“เพื่อนพี่ชอบหมวกหรือ” ภรรยาถาม

“ไม่รู้สิ ไม่เคยเห็นเพื่อนพี่ใส่กันสักคน” ผมตอบ “แต่ว่าไป มีใครบ้างไม่สวมหมวก เราต่างก็สวมหมวกกันทุกคน”

ภรรยาผมตอบ “นั่นนะสิพี่” ก่อนที่เธอจะยิ้มแล้วพูดต่อ “แต่เอาให้ลึก ชอบหมวกกับชอบใส่หมวก ไม่เหมือนกันนะพี่”

“ยังไง”

“พี่ดูสิ หมวกสองใบนี้ใหม่มาก เหมือนเพิ่งซื้อ หมวกใบข้างนอกก็ใหม่เหมือนกัน”

“แล้ว?”

“ชอบหมวกน่าจะออกไปทางชอบสะสมหมวก พอเห็นหมวกก็ซื้อเก็บ แต่คนชอบใส่หมวก มักจะใส่แต่หมวกใบเดิมประจำ”

“อาจจะชอบสะสมหมวกก็ได้ แต่มีใบใดใบหนึ่งชอบเป็นพิเศษก็เลยใส่บ่อย หรือไม่ก็ไม่ได้ชอบหมวก ไม่ได้ชอบใส่หมวก แต่หัวล้านก็เลยต้องใส่” ผมพูดพลางหัวเราะ

“พี่พูดมาไม่น่าจะเกี่ยวกับหมวกสามใบที่เจอเลยนะ หนูว่า” ภรรยาพูดแล้วโยนหมวกแก๊ปลงไปรวมกับหมวกเบเร่ต์บนเก้าอี้ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียง “เตียงนุ้มนุ่ม น่าจะใช้ประโยชน์มากกว่านอนอย่างเดียวนะ หนูรู้แล้วล่ะ เพื่อนพี่ใช้ห้องทำอะไร” ภรรยาพูดแล้วก็ยิ้ม ผมดึงภรรยามากอด เธอแย่งพูด

“เดี๋ยวลูกเห็น ลูกโตแล้วนะ”

ตอนออกจากห้องนอน ภรรยาผมนำหมวกในห้องสองใบวางรวมกับหมวกอีกใบที่โต๊ะมุมเก้าอี้รับแขก แล้วเราก็ออกไปหาอาหารกลางวันรับประทานกัน แต่เมื่อขึ้นมากลับพบหมวกทั้งสามใบไม่ได้อยู่ที่เดิม “หนูวางตรงนี้ไม่ใช่หรือ” ผมพูดกับภรรยา

“วางตรงนี้ จำได้แม่น”

แล้วหมวกหายไปไหน ผมหยุดคิดก่อนเดินสำรวจทั่วห้อง จึงเห็นว่าวางกระจายอยู่ตามมุมต่างๆ ในห้อง

หมวกแก๊ปทหารวางอยู่หน้าห้องน้ำ หมวกเบเร่ต์วางอยู่หน้าห้องนอน ส่วนหมวกติงลี่อยู่ริมกระจก

เกิดอะไรขึ้น!

ผมประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นไปได้อย่างไร จะว่าเราจำผิดว่าได้วางกระจายไปรอบห้องก็ไม่ใช่ ผมกับภรรยามองหน้ากัน

แล้วผมก็เดินเก็บหมวกทั้งสามใบไปวางที่เดิม ก่อนจะหันหลังไปดูหมวกของเราสามคน หมวกยังอยู่กันที่เดิม

ผมเข้าห้องน้ำ ภรรยาเข้าห้องนอน ลูกชายผมเดินไปที่ระเบียง ผมออกจากห้องน้ำมาก็บอกกับภรรยาว่าขอตัวนอนพักสักงีบ เธอบอกจะลงไปชั้นล่างหาซื้ออาหารสำหรับมื้อเย็นและขนมนมเนยไว้รับประทานเล่นในคืนนี้ เธอชวนลูกลงไปด้วย

ผมหลับไปได้สักพัก รู้สึกหนาวจึงตื่นขึ้นมา เดินออกจากห้องนอนก็หน้านิ่วแปลกใจ เมื่อเห็นหมวกเบเร่ต์ตกอยู่หน้าห้องนอน หมวกติงลี่วางหน้าประตูกระจกออกระเบียง ส่วนหมวกแก๊ปทหารวางบนเก้าอี้รับแขก

ผมหันมองหมวกสามใบอย่างสงสัยใคร่รู้

ภรรยากับลูกกลับมาพอดี ผมเรียกภรรยาทันทีแล้วชี้ให้เธอดู

“หนูเปลี่ยนที่วางหมวกหรือ” ผมถาม

“หนูเพิ่งขึ้นมาพี่ พี่ก็รู้ลงไปข้างล่างกับลูก”

ลูกชายมองผมกับภรรยาอย่างงุนงง ผมกังวลใจว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น จึงบอกให้ลูกเข้าไปคลายเครียดในห้องนอน “ลูกจะเล่นเกมก็ได้นะ พ่อไม่ว่า ลูกเหนื่อยมาเยอะแล้ว”

ลูกเข้าห้องนอนพร้อมขนมขบเคี้ยว ปกติผมจะไม่ยอมให้ลูกนำอาหารเข้าห้องนอน แต่วันนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ เมื่อลูกเข้าห้องนอนไปแล้ว ผมเดินโอบกอดภรรยา

จากความประหลาดใจกลายเป็นความกลัวขึ้นมาตงิดๆ

“ใครทำกันนะ” ผมพูดขึ้นลอยๆ

ภรรยาผมมองไปรอบห้องอย่างหวาดๆ เธอยังคิดต่างจากผมในเวลานั้น “ไม่หรอกมั้งพี่” ผมเม้มปากครุ่นคิด แล้วพูดกับภรรยา “เดี๋ยวพี่โทร.หาชิต” พูดจบก็กดโทรศัพท์หาเพื่อน

ผมถามเพื่อนทันทีที่เขากดรับสาย “ห้องมึงมีอะไรหรือเปล่าวะ”

“อะไรที่ว่านี่ คืออะไรของมึง”

“ก็ อืม กูพูดไม่ถูกว่ะ”

“มีอะไร เล่ามาให้กูฟัง” ชิตบอก

แล้วผมก็เล่าให้เพื่อนฟัง ชิตเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ “ไม่นะ กูเองถึงแม้จะอยู่บ้างไม่อยู่บ้าง แต่ทุกครั้งที่อยู่ก็ไม่เคยเจออะไร แล้วหมวกทั้งสามใบก็ไม่ใช่ของกูด้วย กูมีของกูแล้ว ติดหัวกูอยู่ตอนนี้”

ผมคิดใคร่ครวญ ก่อนจะตอบชิต “ขอบใจมึง ถ้าไม่มีก็ไม่มีอะไร กูแค่สงสัย” ผมตอบแล้วกล่าวขอบใจเพื่อนที่ให้ที่พักอีกครั้งแล้วกดวางสาย คิดไปคิดมาตัดสินใจโทร.หาเพื่อนคนอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้เรื่อง เว้นแต่วิชที่ตั้งข้อสังเกตว่า

“ปกติมึงชอบสวมหมวกหรือเปล่าวะ”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกันด้วย” ผมถาม

“ฟังนะ จะชอบหรือไม่ชอบ เอาเข้าจริง คนเราต่างก็ใส่หมวกทั้งหมดทุกคนแหละ ขึ้นอยู่กับจะสัมพันธ์อยู่กับใครในเวลานั้น”

ผมหัวเราะฮึๆ วิชหัวเราะเช่นกัน แล้วเราก็คุยเรื่องอื่นกันไปจนลืมเรื่องหมวกก่อนจะวางสายในเวลาต่อมา ผมคลำศีรษะตัวเองไม่พบ แล้วนึกได้ว่าได้นำไปแขวนที่ราวตะขอตรงประตูห้องแล้ว

 

หลังวางสายผมพูดคุยเรื่องหมวกนี้กับภรรยาอีกครั้ง คุยกันไปคุยกันมาจู่ๆ ก็นึกขำ เราขำก็หัวเราะ เราหัวเราะอย่างไร้ที่มาที่ไป ไม่รู้อะไรที่เริ่มให้เราหัวเราะ แต่เราก็หัวเราะ ใครได้ยินเรื่องที่เราสองคนหัวเราะคงนึกขำ

“ว่าไปหมวกมันก็ตลกดีนะ ดูรูปร่างมันแต่ละใบสิ หนูดูนะ” ผมชี้ให้ภรรยาดู “ไอ้หมวกติงลี่แค่ชื่อก็ตลกแล้ว คงเพราะหนังเรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้และตัวเอกติงลี่ใส่หมวกทรงนี้ คนไทยก็เลยเรียกหมวกแบบนี้ว่าหมวกติงลี่ ฮ่าๆ” ผมหัวเราะเสียงดัง ภรรยาผมก็พลอยหัวเราะเสียงดังไปด้วย “แล้วดูหมวกเบเร่ต์สิ ว่าไปรูปทรงมันก็น่าตลก มีจุกตรงกลาง เวลาใส่เหมือนเอาอะไรไปแปะไว้ ตลกมากเลยนะ ฮ่า” ผมหัวเราะตัวโยน “ไอ้หมวกแก๊ปทหารยิ่งน่าตลกเข้าไปใหญ่ แค่เห็นหน้าหมวกก็ขำแล้ว ดูสิ หน้าบึ้งตลอดเวลาเหมือนโรคจิต นั่นๆ” ผมชี้ใส่หมวก “ดูๆ พอพี่ชี้มัน มันก็โมโห ฮ่าๆ หมวกขี้โมโห นั่น นั่น โมโหพี่ใหญ่แล้ว”

เราต่างหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง หัวเราะราวกับหยุดไม่ได้ หัวเราะกันอยู่พักใหญ่

หมดจากเรื่องขำหมวก เราก็ปล่อยเวลาไปเรื่อยจนเวลาผ่านมาจนถึงสี่ทุ่ม ผมไม่ได้แตะต้องหมวกเลย ปล่อยมันไว้ที่เก่านั่นแหละ ไม่อยากยุ่งแล้ว หมวกใครหมวกมัน เราต่างก็มีหมวกที่ต้องรับผิดชอบมากพอแล้ว ครอบครัวผมจึงเข้านอนกัน

พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า

 

ภรรยากับลูกหลับในห้องนอน ผมนอนบนเก้าอี้รับแขกและหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้

ตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยความเย็นและเสียงลมพัด ท่ามกลางความมืดผมมองไม่เห็น จึงลุกไปเปิดไฟในห้องให้สว่าง ผ้าม่านพลิ้วไหวจนเห็นว่าบานประตูกระจกเปิดอยู่ ผมเดินไปปิด เมื่อกันกลับมาสิ่งที่เจอก็คือ!

หมวกสามใบของเราที่แขวนไว้บนตะขอหลังประตูหล่นลงมา ทุกใบมีสภาพเละเทะถูกทำลาย เหมือนถูกรุมทึ้งกัด ฉีกจนขาดหลุดลุ่ย

ถึงจะดึกขนาดตีสามตีสี่เจ้านายผมก็โทร.มา เขาพูดทันที “ผมไล่คุณออกแล้วนะ ไม่ต้องมาทำงาน”

แล้วเขาก็วางสาย ผมวางโทรศัพท์อย่างงุนงงแล้วเดินไปใกล้หมวกที่ขาดยับเยินพลางก้มดูอย่างไม่เข้าใจ จากความประหลาดใจกลายมาเป็นความสับสน ผมแค่คุยเรื่องหมวกแล้วก็หัวเราะ ผมทำเพียงอย่างนี้ผิดด้วยหรือ จึงถึงกับต้องลงโทษเราด้วย ผมกลายเป็นคนตกงานเพียงไม่ทันข้ามคืน นี่คืออะไรกัน เป็นความสับสนและไม่เข้าใจเลย นี่เราจะมีชีวิตอยู่กันได้อย่างไรในสภาพที่คาดเดาไม่ได้ หัวเราะก็ไม่ได้ ขำก็ไม่ได้ ย้ายที่หมวกก็ไม่ได้ ประเทศนี้อยู่ยากจริงๆ

ภรรยาผมออกมาเข้าห้องน้ำ ผมชี้ให้เธอดู เธอส่ายศีรษะแล้วถอนใจ ก่อนจะเดินมาปลอบใจผม

“พรุ่งนี้เราก็จะไปแล้ว” เธอบอก

มันจะมีอะไรมากไปกว่านี้ ผมคิดถึงเพียงเรื่องเดียว แล้วก็ตัดสินใจพนมมือไหว้ไปรอบๆ ห้อง แล้วพูดว่า

“ผมกับภรรยาและลูก ขอเพียงพักอาศัยชั่วคราว พรุ่งนี้เช้าเราก็จะออกกันไปแล้ว หากทำสิ่งใดผิดไป พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินหรือลบหลู่ ผมกับลูกและภรรยาก็กราบขออภัยด้วย รวมทั้งสิ่งที่เราจะทำต่อไป หากสร้างความไม่พอใจใดๆ ก็กราบขออภัยล่วงหน้าด้วยเช่นกัน”

พูดจบก็ยกมือจบที่หน้าผากแล้วไหว้รอบทิศรอบห้องอีกครั้งก่อนจะลูบศีรษะตัวเอง

ผมปล่อยทุกอย่างในห้องไว้ตามปกติ ปล่อยไว้อย่างนั้น อยากทำอะไรก็เชิญ ผมนึกในใจ นี่ห้องของคุณนิ…

ปิดไฟล้มตัวนอนที่เก้าอี้รับแขก ในหัวคิดนั่นคิดนี่เรื่อยไปจนม่อยหลับไปในที่สุด

เช้ามาเราพากัน ทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เก็บข้าวของออกจากห้องอย่างเงียบ ไม่ได้พูดจากันแม้แต่คำเดียว…