ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 กรกฎาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | รักคนอ่าน |
เผยแพร่ |
มันกลายเป็นความหวาดระแวงไปแล้ว
คล้ายกับคนเคยประสบอุบัติเหตุ ยามกรายร่างเข้าใกล้พื้นที่ซึ่งเหตุนั้นอุบัติ หรือทำกิจกรรมเดิมกิจกรรมเดียวกับตอนที่เรื่องราวได้เกิดขึ้น ลึกๆ ในใจเราจะมีภาพครั้งนั้นวูบขึ้นมา
แต่วูบนั้นจะคงอยู่นานแค่ไหน ก็คงต้องรอให้เวลาเข้ามาจัดการ
เหตุการณ์ผ่านข้ามเดือนไปแล้วตอนที่ฉันกำลังเขียนบทความนี้ เรื่องของสิรวิชญ์ที่โดนรุมตีริมถนน ขณะจะไปทำเรื่องเรียนต่อ
ข่าวมาว่านิวได้สติแล้ว แต่ยังเจ็บอยู่มาก และอาการก็ยังไม่เป็นที่สรุปว่าสุดท้ายแล้วความเสียหายจะเกิดขึ้นที่ตรงไหน
โดยส่วนตัวแล้ว, ฉันว่าต่อให้เข้มแข็งเพียงใด บาดแผลที่หัวใจคงต้องมี
รถฉันชนตรงทางขึ้นทางด่วนอุรุพงษ์
นาทีนั้นฉันไม่ได้ต้องการรับรู้อะไรมากไปกว่าเรื่องของความเสียหายในทุกด้าน ทั้งฉัน ผู้ร่วมทาง พื้นที่ทางด่วน
ฉันเคยมีอุบัติเหตุบนทางด่วนมาก่อน นอกจากต้องจัดการกับค่าความเสียหายของรถแล้ว ยังต้องจัดการกับค่าเสียหายในพื้นที่ไหล่ทางของทางด่วนด้วย
กับครั้งนี้นายตำรวจผู้รับผิดชอบบอกให้ฉันไปรักษาตัวเสียก่อน เอาว่าพอใช้การได้เมื่อไหร่ค่อยมาคุยกันเรื่องคดี
ฉันเดินทางไปพบเจ้าของคดีในสภาพถูกปะไปแล้ว แม้ยังใช้งานได้ไม่เต็มที่ แต่ก็มีสัมปชัญญะพอจะรับรู้และชี้แจงเรื่องราว
คุณตำรวจบอกว่า, ในวันและเวลาที่เกิดเหตุ กล้องวงจรปิดทั้งหมดในบริเวณนั้นไม่ได้บันทึกภาพอุบัติเหตุไว้ เพราะต้องจัดให้กล้องจับไปบริเวณที่กำลังมีการชุมนุม
-การชุมนุม-
ในสติบุบๆ เบลอๆ ของฉัน ช่วงนั้นมีการชุมนุมถี่จนฉันจำไม่ได้แล้วว่ามีตรงจุดไหน ชุมนุมโดยกลุ่มไหน เพื่อเรียกร้องอะไรกันบ้าง
ฉันตื่นขึ้นจากการผ่าตัดด้วยเสียงนกหวีด เดินแข็งๆ ไปกายภาพเพราะรถถูกกั้นไม่ให้เข้าโรงพยาบาล ผจญกับสายตาและเสียงด่า มองลงมาจากห้องตรวจเห็นคนและขบวนรถขับสวนทางขึ้นมาบนทางด่วน มือถือธงโบกสะบัด
ถามว่าฉันเป็นอย่างไรบ้าง
ก็ไม่เป็นอะไรนัก บาดแผลภายนอกไม่ได้มีมากขึ้น แต่รอยในหัวใจถูกกรีดซ้ำไปเรื่อยๆ จากเหตุการณ์รุนแรงในแต่ละวัน
หนังสือ “อยู่กับบาดแผล” ของอาจารย์บุญเลิศเล่าถึงผู้คนตัวเล็กตัวน้อยบนทางผ่านของเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง
เรื่องของคนจากทั้งสองฟากฝั่ง ที่บาดเจ็บ ถูกขัง และสร้างความทรงจำกับความเชื่ออันยากลบลืม เพราะได้ประสบมากับตาตัวเอง และอวัยวะที่ขาดหายหรือใช้การไม่ได้นั้นก็คอยย้ำเตือนอยู่ทุกวัน
ยังรวมถึงผู้ใกล้ชิด บางคนชีวิตเปลี่ยนเพียงข้ามคืน จากเจ้าของกิจการเล็กๆ ที่ดูแลตัวเองได้สบาย กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงไม่อาจสื่อสาร บ้างตาบอด
บ้างแขนขาดสะบั้น กลายเป็นรับผิดชอบตัวเองและหน้าที่ตามเดิมไม่ได้ ต้องอาศัยแรงกายและการเล่าเรื่องจากปากคนอื่น
รูปบางรูปของฉันในเฟซบุ๊กต้องถูกลบออก แต่บางรูปฉันก็ยังเก็บไว้ เพียงแต่จำกัดการเข้าถึงแบบสาธารณะ
วันดีคืนดีฉันก็จะเปิดรูปเหล่านั้นขึ้นมา แล้วกดดูคอมเมนต์
ไหนลองดูภาพคนที่บอกให้ฉันไปตายหน่อยซิ ทุกวันนี้เขาเป็นยังไงบ้าง
แล้วคุณผู้หญิงคนนั้นที่บอกว่าฉันเกิดมารกโลก ป่านนี้เขาจะทำอะไรอยู่
ไหนยังจะมีคนเคยรู้จัก ที่บอกว่าไม่นึกเลยว่าฉันจะรับเงินมาทำลายชาติ อ้าว รูปเขาหายไปเสียแล้ว กลายเป็นพระพุทธรูปพร้อมพุทธวจนะ จะให้นึกถึงหน้าจริงๆ ของเขาก็เลือนรางเต็มที ทั้งที่เคยเห็นกันจริงๆ มาก่อน
บางคนฉันก็กดเข้าไปดูไม่ได้แล้ว เขาก็จำกัดสิทธิ์ของฉัน เหมือนที่ฉันทำนี่ล่ะมั้ง
จำเป็นไหมว่าฉันต้องลืม
และจำเป็นไหมที่ฉันต้องให้อภัย
เอาเข้าจริงแล้วฉันก็ไม่ได้อยากลืมหรืออยากอภัย เพราะสิ่งที่เขาทำนั้นมันทั้งรุนแรงและไม่น่าจดจำในเวลาเดียวกัน
ใครก็ไม่รู้ที่ด่าฉัน สาปแช่งฉัน ต่อต้านฉัน ขุดคุ้ยฉัน
ถามว่าหลังจากคำด่าเหล่านั้น ฉันยังดำเนินชีวิตต่อไปได้ไหม
ก็ได้นะ
แต่ถามว่าลืมไหม
ฉันไม่มีทางลืม
แปลกดีที่ล่าสุด ความคิดเห็นของชายคนหนึ่งในกรณีจ่านิวนั้น เขาแสดงเอาไว้ว่า สิ่งที่นิวโดนนี่คืออาชีพใหม่ โดนตีแล้วได้เงิน
ก็ไม่ใช่เขาคนเดียวหรอกที่พูด ฉันเชื่อว่ามีอีกเยอะที่คอมเมนต์กันแบบนี้
แต่ที่ตลกดีคือฉันเคยเจอคุณผู้ชายคนนี้เหมือนกัน
งานการที่ทำนั้นก็อยู่ในแวดวงเดียวกัน เขาไปเล่นเรื่องนี้ แล้วก็กลับมาที่ช่องนั้น ทำงานคล่อง ท่องบทได้ รับแอ๊กชั่นได้ ทำหน้าตาโกรธเกลียดได้สมจริง เวลาเอาปืนปลอมไปส่องใครๆ ตามบทในเรื่อง
แต่ฉันอาจจะรู้น้อยไปก็ได้ ว่าสำหรับคนที่โผไปโผมาตามช่องต่างๆ นั้นจะได้ค่าจ้างสักแค่ไหนกับการส่องปืนไปยังใครๆ หรือถูกยิงตายในเรื่องเสียเอง
เขาถึงเข้าใจว่าการโดนรุมตีจนตาปลิ้น กะโหลกร้าวนั้นเป็นสิ่งยอมรับได้หากได้เงิน
สิ่งที่เขาพูดไม่ใช่การแสดงความเห็นต่างทางการเมืองอย่างที่เขาเข้าใจ
สำหรับฉัน, มันคือการตัดสินชีวิตคนคนหนึ่งในความคิดเห็นเดียว
อาจารย์บุญเลิศเล่าเรื่องในหนังสืออย่างไม่ชี้นำ โดยกล่าวไว้ในหนังสือว่า
“ผู้เขียนต้องการข้ามพ้นข้อถกเถียงที่ว่า ผู้ตกเป็นเหยื่อฝ่ายใดถูกกระทำด้วยความรุนแรงมากกว่ากัน หรือความรุนแรงที่กระทำต่อฝ่ายใดสมควรหรือไม่สมควรอย่างไร หากแต่จะเริ่มต้นจากการมองว่า บรรดาสามัญชนไม่ว่าจะเข้าร่วมกับขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองฝ่ายใด ต่างก็เป็นผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงเหมือนกัน และความรุนแรงย่อมส่งผลกระทบต่อชีวิตพวกเขาไม่มากก็น้อย โดยหวังว่าการทำความเข้าใจพวกเขา จะช่วยให้เราเข้าใจเหตุผลของผู้เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองได้ดีกว่าคำกล่าวซ้ำเติมว่า พวกเขาเป็นผู้ไร้เดียงสาที่ถูกจ้างมาหรือถูกล่อลวงมาให้เจ็บตัว…”*
-อยู่กับบาดแผล- ใช่ เราล้วนต้องอยู่กับบาดแผลกันทั้งนั้น และสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป อะไรที่ทำไปแล้วไม่อาจแก้ไขกลับคืนได้
เราทุกคนล้วนเป็นผู้ประสบภัยทางการเมือง
ยกเว้นว่าคุณคือ 1% ที่อยู่สูงสุดของสังคม
ในระดับความสูงขนาดนั้น คุณไม่จำเป็นต้องก้มลงมามอง
“อยู่กับบาดแผล” เขียนโดยบุญเลิศ วิเศษปรีชา ฉบับพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์ Papyrus, มิถุนายน 2562
*ข้อความจากในหนังสือ