อนุสรณ์ ติปยานนท์ : ร้านหนังสือของนายหมอก

เมืองในหมอก (11)

วันแรกที่เขาเริ่มต้นเปิดร้านหนังสือนั้น นายหมอกสีเทาไม่ได้คาดคิดถึงการมาเยือนของผู้ใด

เขาใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ก่อนการเปิดร้านหนังสือ ติดประกาศโฆษณาไปทั่วเมือง ตั้งแต่เช้าจรดเย็น

นายหมอกสีเทาจะสวมใส่หน้ากากป้องกันมลพิษออกเดินไปตามสถานที่ต่างๆ จากตรอกสู่ถนน จากถนนสู่ทางสัญจรอื่นๆ เขาติดแผ่นกระดาษที่เขาตระเตรียมมากับเสาไฟฟ้า

เขาผูกป้ายพลาสติกกับต้นไม้ใหญ่ นายหมอกสีเทาเลือกใช้วัตถุดิบนานาชนิดสำหรับการประกาศเชิญชวน

บางอย่างอาจเหมาะที่จะเห็นในระยะใกล้ บางอย่างอาจเหมาะที่จะเห็นในระยะไกล

นายหมอกสีเทาใช้เวลาขบคิดเกี่ยวกับการเลือกสรรวัตถุดิบอย่างถี่ถ้วน หลังลาออกจากงาน เขามักใช้เวลาที่โต๊ะอาหารภายในห้องพัก จิบกาแฟ ครุ่นคิดถึงหนังสือที่เขาต้องการจะเลือกเข้าร้าน (ซึ่งเขารู้ว่ามันแทบไม่มีความแตกต่างๆ ในภายหลัง)

จนถึงการจินตนาการว่าผู้ใดคือกลุ่มเป้าหมายสำหรับร้านหนังสือของเขา

นายหมอกสีเทาพิถีพิถันกับสิ่งที่เขาจะกระทำเป็นอย่างยิ่ง นั่นเป็นเพราะว่านายหมอกสีเทารู้ตัวดีว่านี่คืองานสุดท้ายในชีวิตของเขา พ้นจากงานนี้แล้วเขาพบว่าไม่มีสิ่งใดมีคุณค่าต่อการมีชีวิตอยู่ของเขาอีกเลย

 

หลังจากกิจกรรมของการชักชวนจบสิ้นลง นายหมอกสีเทาก็เฝ้ารอวันเเรกของการเปิดบริการ

เขารวบรวมหนังสือจากเพื่อน จากกองขยะที่เขาคุ้นชิน จากโรงคัดแยกขยะที่เขารู้จักและสนิทสนม

ชั่วเวลาไม่นานนัก นายหมอกสีเทาก็ได้หนังสือในปริมาณที่มากพอ

หนังสืออะไรก็ได้ เขาพูดกับตนเอง หนังสือประเภทไหนก็ได้ ไม่สำคัญ เขาพูดกับตนเอง

เขาเชื่อว่ามีคนปรารถนาที่จะอ่านหนังสืออยู่เสมอถ้ามีโอกาส

เช่นเดียวกับมีคนปรารถนาที่จะชมสวนสัตว์อยู่เสมอถ้ามีโอกาส

เมื่อคิดถึงสวนสัตว์ นายหมอกสีเทาก็อดคิดถึงหญิงสาวผู้นั้นไม่ได้

เป็นเวลานานแล้วที่เขาไม่ได้พบกับเธออีกเลย ทั้งที่หญิงสาวผู้นั้นคือแรงบันดาลใหญ่หลวงในการเปิดร้านหนังสือของเขา

นายหมอกสีเทาคิดถึงเธอบ่อยครั้งในช่วงแรก อาจเป็นเพราะเวลาว่างที่เขาได้รับหลังออกจากงาน

แต่แล้วเมื่อเขาวุ่นวายมากขึ้นกับร้านหนังสือใหม่ กับชีวิตที่ดำเนินไป นายหมอกสีเทาก็คิดถึงเธอน้อยลงทุกขณะ

เขาเชื่อว่าเขาจะได้พบกับเธออีก โดยเฉพาะในวันที่เธออยากอ่านหนังสือ

เขาเชื่อเช่นนั้น เขาเชื่อเช่นนั้นเสมอมา

 

หลังจากได้หนังสือมาในปริมาณที่มากพอ นายหมอกสีเทาก็ค้นหาสถานที่ที่เขาจะใช้เป็นร้านหนังสือ

ในวันเวลาเหล่านี้การต้องการสถานที่สำหรับกระทำกิจกรรมใดๆ เป็นสิ่งที่ง่ายดายมาก

มีสถานที่รกร้างว่างเปล่าอยู่ทั่วเมือง ผู้คนอพยพไป ผู้คนละทิ้งมันไป

หลายสถานที่ติดป้ายประกาศให้ใช้งานมันได้แบบเปล่าๆ ขอเพียงชำระค่าน้ำและค่าไฟให้ก็พอ

แต่กระนั้นก็หามีใครสนใจไม่ อย่างไรก็ตาม นายหมอกสีเทาได้สถานที่ที่ดี เป็นชั้นล่างของอาคารแห่งหนึ่ง

ตัวห้องเป็นผนังกระจกใส มองเห็นได้รอบทิศ

แต่เดิมคือร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่ผู้เป็นเจ้าของประกาศขายในราคาที่ถูกแสนถูก

นายหมอกสีเทารวบรวมเงินเก็บที่เขาได้จากการทำงาน ซื้อมันและลงมือตกแต่งเพียงเล็กน้อย นับแต่การติดตั้งชั้นหนังสือและเก้าอี้ที่นุ่มสบายสำหรับการอ่านหนังสือ เพียงเงินไม่กี่มากน้อย

อาคารที่ทรุดโทรมก็แลดูงดงามขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

นายหมอกสีเทาพึงพอใจกับสิ่งที่เขาได้รับเป็นอย่างมาก

เขานั่งเล่นอยู่ที่ร้านหนังสือของเขาแทบทุกคืน เฝ้าขบคิดว่าคนที่มายังร้านของเขาเป็นคนแรกจะเป็นใคร

คนที่ยังคิดถึงการอ่านหนังสือควรเป็นผู้ใด

หลังจากอิ่มเอมกับความขบคิดที่ว่า นายหมอกสีเทาจะเลือกหนังสือบางเล่มจากชั้นหนังสือ เขาใช้กฎเกณฑ์ในการเลือกหนังสือว่าต้องเป็นหนังสือที่มีตัวเลขแฝงอยู่บนปกเป็นหลักใหญ่

ผลจากการที่เขาตัดสินใจเปิดร้านหนังสือแห่งนี้หลังได้พบกับหนังสือ 1984 ของชายคนหนึ่งในร้านกาแฟทำให้เขาสนใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวเลขกับเรื่องราวในเรื่อง

หนังสือเล่มแรกที่เขาเลือกหยิบจากชั้นมีตัวเลข 451 อยู่บนปก เรื่องราวในหนังสือดึงดูดใจเขาอย่างยิ่ง

โลกอนาคตที่การอ่านหนังสือเป็นอาชญากรรม หนังสือทุกเล่มที่พบจะถูกเผาจนมอดไหม้ และอุณหภูมิที่หนังสือนั้นจะมอดไหม้คือที่ความร้อน 451 องศาฟาเรนไฮต์

เรื่องราวคงดำเนินไปอย่างไม่มีสิ่งใดน่าสนใจหากมือเพลิงคนหนึ่งจะไม่ตัดสินใจลักลอบเก็บหนังสือที่เขาจะเผาไว้และพยายามทุกวิถีทางที่จะปกป้องหนังสือที่เหลืออยู่จากชะตากรรมอันโหดร้ายของมัน

 

นวนิยายที่เกี่ยวข้องกับอนาคต นวนิยายที่เกี่ยวข้องกับสภาวะเลวร้ายที่มนุษย์ต้องเผชิญหลังจากที่พวกเขามีความเติบโตทางด้านเทคนิควิทยาการและเศรษฐกิจ

เรื่องราวเหล่านี้เองทำให้นายหมอกสีเทานึกถึงเรื่องราวใน 1984 และเรื่องราวในหนังสือ 1984 นี้เองที่ทำให้นายหมอกสีเทามีความกล้าที่จะท้าสู้กับความเลวร้ายที่ครอบงำเขาอยู่อันได้แก่หมอกควัน

การอ่านเรื่องราวในหนังสือทำให้นายหมอกสีเทามีกำลังใจในการทำงานมากขึ้น

ไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวที่ต้องเผชิญกับความเลวร้ายจากความก้าวหน้าในโลกนี้ แม้ทุกเรื่องราวในหนังสือเหล่านี้เป็นผลพวงมาจากเรื่องเล่าที่ถูกแต่งเติม ทว่านายหมอกสีเทาเชื่อว่าไม่มีเรื่องเล่าใดที่ไม่มีพื้นฐานมาจากความจริง

ดังนั้น หากมนุษย์สามารถฝ่าฟันการเฝ้ามองของ “พี่เบิ้ม” ได้

หากมนุษย์สามารถไปพ้นจากการทำลายล้างหนังสือที่อุณหภูมิ 451 ฟาเรนไฮต์ได้

นายหมอกสีเทาก็ย่อมสามารถทำให้ผู้คนกล้าที่จะเดินออกจากบ้าน

กล้าที่จะฝ่าหมอกควันมายังร้านหนังสือ กล้าที่จะนั่งลงในร้านและอ่านหนังสือที่มีอย่างเพลิดเพลิน

เขาต้องเชื่อมั่นในตนเองเสียก่อน ผู้คนจึงจะเชื่อมั่นในเขา

นายหมอกสีเทาคิดเช่นนี้และเขาเชื่อว่าหากเขาลงมือกระทำมันไม่ช้าก็เร็วทุกอย่างน่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง

 

ลูกค้าคนแรกที่มายังร้านหนังสือซึ่งเปิดทำการเป็นวันแรกเป็นเด็กนักเรียนชายคนหนึ่ง

นายหมอกสีเทาเชื่อมั่นว่าเขาเป็นเด็กนักเรียนจริงๆ ชุดนักเรียนที่ประกอบไปด้วยเสื้อแขนสั้นสีขาว กางเกงขาสั้นสีกากี รองเท้าสีน้ำตาลและทรงผมที่สั้นเกรียนทำให้นายหมอกสีเทาคิดถึงตัวเองในวัยเด็ก

แต่กระนั้นเขาก็ยังอดเคลือบแคลงใจไม่ได้ ไม่มีโรงเรียนอีกต่อไปในเมืองนี้

การสอบและการสอนที่จำเป็นถูกจัดการผ่านทางระบบสื่อสารอื่น แม้ว่าจะมีตัวอาคารโรงเรียน แต่ไม่มีนักเรียนที่เดินทางไปที่นั่นอีกแล้ว

อากาศที่เลวร้ายลงอย่างต่อเนื่องทำให้การเรียนในแต่ละชั้นปีค่อยๆ หายสูญไป

ดังนั้น การพบเห็นนักเรียนหนึ่งคนในชุดเครื่องแบบที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งที่ทำให้นายหมอกสีเทาฉงนใจเป็นอย่างยิ่ง

นักเรียนผู้นั้นดูจะไม่ตระหนักถึงความแปลกใจของนายหมอกสีเทา เขาเลือกหนังสือหลายเล่มจากชั้น นั่งลงอ่านมันตั้งแต่เช้าจรดเย็น

จากหนังสือเทพนิยายของกริมม์และอีสป ไปสู่วรรณกรรมคลาสสิคอย่างโอลิเวอร์ ทวิสต์ และเดคาเมรอน ไปสู่วรรณกรรมร่วมสมัยอย่างด๊อกเตอร์ชิวาโก และสงครามและสันติภาพ

เด็กนักเรียนชายผู้นั้นอ่านหนังสืออย่างหิวกระหายตั้งแต่เช้าจรดเย็น ไม่มีเวลาพักเที่ยง จนเมื่อแสงสุดท้ายของวันหมดลง เขาจะลุกขึ้นยืน บิดตัวเพื่อขจัดความปวดเมื่อยก่อนจะนำหนังสือไปเก็บที่ชั้นและเลือกซึ้อหนังสือราคาย่อมเยาบางเล่นไป

นักเรียนชายผู้นั้นมาอ่านหนังสือทุกวัน นักเรียนชายผู้นั้นมาซื้อหนังสือทุกวัน จนหลังจากเวลาผ่านไปนานนับเดือน แม้จะมีลูกค้าคนอื่นสลับสับเปลี่ยนมาที่ร้านค้า แต่นักเรียนชายผู้นั้นก็ยังเป็นลูกค้าประจำคนแรกและคนเดียวอยู่ดี

เมื่อนักเรียนชายผู้นั้นเลือกหนังสือได้และลงนั่งอ่านมันที่โซฟามุมห้อง นายหมอกสีเทาก็จะหยิบหนังสือที่เขาอยากอ่านตรงไปยังอีกมุมของร้านเช่นกัน

และช่วงเวลานั้น ร้านหนังสือเล็กๆ แห่งหนึ่งก็จะเปลี่ยนตนเองไปเป็นห้องสมุดอันเงียบสงบแทน

 

ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนั้นสำหรับร้านหนังสือของนายหมอกสีเทา จะเรียกมันว่าเป็นกิจการที่ดีคงไม่ได้

และเช่นเดียวกันจะเรียกมันว่าเป็นกิจการที่ล้มเหลวก็ไม่ได้อีกเช่นกัน

ค่าใช้จ่ายที่น้อยแสนน้อย หนังสือที่ได้มาเปล่าๆ แบบปราศจากต้นทุน

วันเวลาว่างที่ได้อยู่เพียงลำพังเพื่อขบคิดวิธีรับมือและกำจัดหมอกควันสีเทา ทั้งหมดนี้ให้ความสุขแก่นายหมอกสีเทาจนเกินพอ

เขาเริ่มเคยชินกับชีวิตที่มีเพียงผนังกระจกที่กั้นเขาออกจากฝุ่นอันเลวร้ายข้างนอกนั่น บางวันมันอาจทึบเสียจนไม่มองเห็นถนน บางวันมันเป็นเพียงแค่ความขุ่นมัวที่ทำให้สายตาได้ทำงานหนักขึ้น และบางวันมันจะโปร่งใสเสียจนพอมองเห็นผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอก

ทั้งหมดนี้ดำเนินผ่านไปทางการสังเกตการณ์ของนายหมอกสีเทา เจ้าของร้านหนังสือเพียงหนึ่งเดียวในเมืองนั้น

และแล้ววันที่อากาศเลวร้ายที่สุดประจำปีก็มาถึง

เป็นธรรมเนียมที่ช่วงเวลาหนึ่งของปี หมอกควันจะโจมตีเมืองอย่างหนักจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใดเลย

ทางการจะประกาศแจ้งเตือนล่วงหน้า ผู้คนจะเก็บตัวเงียบอยู่ภายในบ้าน ร้านค้าและบริษัทประกาศหยุดงาน แต่สำหรับนายหมอกสีเทานี่เป็นครั้งแรกที่ร้านหนังสือของเขาจะเผชิญอากาศที่เลวร้ายเช่นนี้และเขาอยากเห็นมันอย่างใกล้ชิด

ในวันนั้นเขาจึงไปทำงานตามปกติ เปิดร้าน กินอาหารเช้าเบาๆ ที่เขาเตรียมมา และนั่งลงอ่านหนังสือ

เวลาเดินหน้าไป ไม่มีลูกค้าแม้เพียงคนเดียวที่เดินเข้ามา

นายหมอกสีเทาเข้าใจได้ถึงเหตุผล หากแต่เขาก็หวังว่านักเรียนชายคนนั้นจะแวะมาที่นี่ เขาไม่เคยขาดการมาเยือนที่นี่แม้แต่วันเดียว

กระนั้นจนเวลาล่วงเลยไปก็ปราศจากวี่แววของนักเรียนชายผู้นั้น

นายหมอกสีเทาหยิบหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่าออกจากชั้น อ่านมันไปเพียงห้าถึงสิบหน้าก่อนจะวางลง เขาเผลอหลับไปบนเก้าอี้นั่งในที่สุดก่อนจะตื่นขึ้นด้วยเสียงฝีเท้าของใครบางคน

มีใครบางคนเข้ามาในร้านจริงๆ หากแต่ไม่ใช่นักเรียนชาย

นายหมอกสีเทาจ้องมองดูบุคคลที่ฝ่าหมอกควันหนาทึบภายนอกเข้ามายังอากาศที่ถูกฟอกจนสะอาดภายใน

หญิงสาวผู้นั้น หญิงสาวที่นายหมอกสีเทาคิดถึงอยู่เสมอ