เด็กเก็บบอล : “อากิระ นิชิโนะ” ความหวังใหม่แห่งลูกหนังไทย

ในที่สุด “ช้างศึก” ทีมฟุตบอล “ทีมชาติไทย” ก็ได้โค้ชคนใหม่เข้ามากุมบังเหียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สุดท้าย “สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ” เลือกซื้อหวยกับโค้ชแดนปลาดิบเป็นคนแรก และเป็นโค้ชชาวต่างชาติคนที่ 14 ที่ทำหน้าที่หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย

ก็คงต้องบอกว่า เป็นตัวเลือกที่สมใจแฟนบอล (ส่วนมาก) กันพอสมควร กับ “อากิระ นิชิโนะ” กุนซือสัญชาติญี่ปุ่น วัย 64 ปี ที่พกดีกรีฟุตบอลระดับเอเชียมาเป็นจำนวนมาก

ว่ากันด้วยประวัติของกุนซือทีมชาติไทยคนใหม่คนนี้ สมัยเป็นนักเตะค้าแข้งให้กับทีมฮิตาชิ หรือ “คาชิว่า เรย์โซล” ในปัจจุบัน ลงเล่นในตำแหน่งกองกลางให้กับทีมทั้งสิ้น 143 นัด ทำไปได้ 29 ประตู

เพียงแต่สมัยเป็นนักเตะเขาไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนักเพราะไม่มีแชมป์ติดมือเลยแม้แต่รายการเดียว

 

นิชิโนะแขวนสตั๊ดในปี 1990 ก่อนจะเริ่มจับงานโค้ชกับต้นสังกัดเดิม แต่ทำได้แป๊บเดียวก็ถูกทีมชาติญี่ปุ่นดึงไปทำทีมชุดอายุไม่เกิน 20 ปี ก่อนจะขยับขึ้นไปทำชุดยู-23 ต่อไป ซึ่งเขาก็สร้างชื่อให้ทันทีด้วยการพาทีมชาติญี่ปุ่นคว้าตั๋วไปเตะ “โอลิมปิกเกมส์ 1996” ที่เมืองแอตแลนต้า สหรัฐอเมริกา นับเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี ที่ญี่ปุ่นสามารถเข้ามาเล่นในโอลิมปิกเกมส์ รอบสุดท้ายได้

แต่แค่นั้นยังไม่พอ เพราะว่านิชิโนะยังพาทีมแดนซามูไรประกาศศักดา สร้างเหตุการณ์ที่น่าจดจำชื่อว่า “ปาฏิหาริย์แห่งไมอามี” ด้วยการทำเซอร์ไพร์สเอาชนะ “แซมบ้า” “บราซิล” 1-0 ในเกมที่สนามออเรนจ์ โบว์ล ไมอามี ถึงแม้ว่าจะจบรอบแบ่งกลุ่มด้วยการมี 6 คะแนน จากการชนะ “ฮังการี” และแพ้ให้กับ “ไนจีเรีย” แต่ก็ไม่สามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้อยู่ดี

หลังจากจบงานทีมชาติ นิชิโนะกลับมาทำงานกับคาชิว่า เรย์โซล อีกครั้ง แต่คราวนี้มาในฐานะกุนซือทีมชุดใหญ่ในปี 1998 ก่อนจะพาทีมคว้าแชมป์เจลีกคัพได้ในฤดูกาลถัดมา จากนั้นสามารถพาทีมจบอันดับ 3 ในลีกได้ 2 ฤดูกาลติดกัน จนได้รับรางวัลโค้ชยอดเยี่ยม

แต่สุดท้ายก็โดนปลดในปี 2001

 

อย่างไรก็ตาม ความยิ่งใหญ่ของนิชิโนะในญี่ปุ่นนั้น กลับมาผงาดอีกครั้งในการไปคุมทีม “กัมบะ โอซาก้า” โดยเข้าไปรับตำแหน่งเมื่อปี 2002 และใช้เวลา 3 ฤดูกาลสามารถพาทีมคว้าแชมป์เจลีกมาครองได้ นับเป็นแชมป์ลีกครั้งแรกในการทำงานของเขาด้วย

ต่อมาในปี 2008 นิชิโนะยังพากัมบะ โอซาก้า คว้าแชมป์ “เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก” ได้สำเร็จ นับเป็นโค้ชญี่ปุ่นคนแรกที่สามารถคว้าแชมป์รายการนี้ได้ จากนั้นก็พาทีมคว้าอันดับ 3 ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก (ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ) พร้อมกับคว้ารางวัลโค้ชแห่งปีของสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (เอเอฟซี) มาครองได้ในปีนั้น

เมื่อถึงจุดสูงสุด นิชิโนะตัดสินใจย้ายไปคุมทีมวิสเซล โกเบ ในปี 2012 แล้วโดนปลดปี 2014 จากนั้นไปคุมนาโกย่า แกรมปัส เอท ในปี 2015 เป็นการส่งท้ายการคุมทีมในระดับสโมสรของเขา

 

จากนั้นสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่นแต่งตั้งให้นิชิโนะเป็นประธานพัฒนาเทคนิคในปี 2016 ทว่าก่อนฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้าย ที่ประเทศรัสเซีย จะเปิดฉากไม่กี่เดือนนั้น ได้มีการปลด “วาฮิด อาลิฮอดซิช” กุนซือใหญ่ทีมชาติญี่ปุ่น ทำให้ทีม “ซามูไรบลูส์” ตั้งให้นิชิโนะไปทำหน้าที่แทนลุยศึกฟุตบอลโลก 2018

แน่นอนว่าการเข้ามาแทนที่ของกุนซือต่างชาติที่มีดีกรีดีกว่า ทำให้หลายคนตั้งข้อสงสัยในฝีมือของตัวเขา อีกทั้งยังมีเวลาค่อนข้างจำกัดในการเตรียมตัว แต่สุดท้ายก็ตบหน้านักวิจารณ์เหล่านั้นด้วยผลงานอันเป็นที่น่าจดจำ

ในศึกฟุตบอลโลกแดนหมีขาว ทีมซามูไรบลูส์ สร้างผลงานเซอร์ไพรส์อีกครั้งตั้งแต่เกมแรกที่ลงสนาม ด้วยการเฉือนเอาชนะ “โคลอมเบีย” 2-1 ทีมม้ามืดจากฟุตบอลโลกหนก่อน ทำสถิติอีกครั้งกลายเป็นกุนซือเอเชียคนแรกที่เอาชนะทีมจากอเมริกาใต้ได้

นิชิโนะเปลี่ยนแปลงญี่ปุ่นชุดนี้ให้กลายเป็นทีมที่เล่นเพรสซิ่งเร็ว และใช้การโต้กลับโจมตีคู่แข่ง กอปรกับนักเตะนั้นเล่นอย่างมีระเบียบวินัยตามแนวทางของนิชิโนะ ทำให้เกมต่อมาสามารถยันเสมอกับ “เซเนกัล” 2-2 ได้

เพียงแต่จุดด่างพร้อยของญี่ปุ่นในฟุตบอลโลก 2018 น่าจะเป็นนัดสุดท้ายในรอบแบ่งกลุ่ม ที่พวกเขาแพ้ให้กับ “โปแลนด์” 0-1 ซึ่งเกมนั้นช่วงท้ายเกม พวกเขารู้ตัวดีว่าจะผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย จากกฎแฟร์เพลย์ที่ดีกว่าเซเนกัล จนกลายเป็นเคาะบอลไปมา สร้างความไม่พอใจกับแฟนบอล แต่สุดท้ายทีมก็ได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ

ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ญี่ปุ่นยังสร้างเซอร์ไพรส์อีกครั้ง ด้วยการออกนำยอดทีมจากยุโรป ซึ่งเต็มไปด้วยสตาร์ดังระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น “เอเด็น อาซาร์”, “เควิน เดอ บรอยน์” ไปก่อนถึง 2-0 แม้จะโดนไล่ตีเสมอ แต่ก็ยังมองถึงชัยชนะด้วยการเปิดเกมบุกใส่ จนสุดท้ายโดนโต้กลับมาพลาดพ่ายไป 2-3 แต่ก็เป็นอีกหนึ่งความประทับใจที่ญี่ปุ่นแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ทีมรองบ่อนในฟุตบอลโลกอีกต่อไป

นั่นคือนัดสุดท้ายในการคุมทีมชาติญี่ปุ่นของนิชิโนะ ก่อนเขาจะว่างงานจนกระทั่งมารับงานที่ประเทศไทยนี่แหละ ก็นับว่าเป็นกุนซือที่เพิ่งผ่านงานระดับโลกมาไม่นานนัก และสนิมยังไม่เกาะแน่นอน

 

ผมได้คุยกับเพื่อนนักข่าวญี่ปุ่นคนหนึ่ง (ไม่ขอเอ่ยนาม) เขาบอกว่าทีมชาติไทยโชคดีมากๆ ที่จะได้นิชิโนะมาคุมทีมชาติไทย เพราะว่าเป็นกุนซือคนหนึ่งที่รู้จักเรื่องของฟุตบอลเป็นอย่างดี วันๆ ขลุกอยู่กับการหาข้อมูลด้านฟุตบอล และเชื่อว่าจะพัฒนาทีมชาติไทยขึ้นมาได้แน่นอน

เพียงแต่ปัญหาเดียวที่นิชิโนะอาจจะต้องเจอคือเรื่องของอีโก้นักเตะไทย รวมถึงนักเตะเหล่านี้ยังไม่เคยเจอกับการทำงานของโค้ชญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อว่าเขี้ยวลากดิน จะสามารถคุมนักเตะในทีมอยู่หรือไม่ อันนี้นับเป็นจุดที่น่าสนใจมากทีเดียว

นอกจากนี้ ปัญหาหนึ่งที่นิชิโนะจะต้องเจอ คือเรื่องความยังไม่เป็นมืออาชีพเต็มร้อยของสโมสรและนักเตะไทย บางครั้งเรียกนักเตะคนหนึ่งมาติดทีม ก็เจอสโมสรเบรกเอาไว้ไม่ให้มาเล่นทีมชาติ เพราะมีโปรแกรมสำคัญในลีกรออยู่

 

กุนซือแดนปลาดิบรายนี้บอกว่า ตัวเขาเองรู้จักทีมชาติไทย เพราะเคยคุมทีมญี่ปุ่นมาเจอกับไทยเมื่อปี 1996 และมองว่านักเตะไทยมีศักยภาพที่ดีไม่ต่างจากนักเตะญี่ปุ่น แต่ที่ต้องพัฒนาคือเรื่องของสปิริต คือสิ่งที่จะทำให้นักเตะไทยพัฒนาขึ้นไปได้ และเขาก็อยากทำให้ทีมชาติไทยขึ้นไปอยู่ระดับท็อปของเอเชียด้วย

นอกเหนือจากการจัดการในสนาม-นอกสนามแล้ว นิชิโนะก็คงต้องเรียนรู้ระบบโซเชียลมีเดียของประเทศไทยเอาไว้ด้วยก็ดีนะ เพราะแฟนบอลชาวไทยเสพติดความสำเร็จ เห็นท่าไม่ดีก็ด่าสาดเสียเทเสีย จะไล่ออกกันอย่างเดียว แต่ถ้าไม่เล่นโซเชียล ก็นับว่าคงเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เลยแหละ

สุดท้าย นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้นของกุนซือญี่ปุ่นคนแรกที่มาคุมทีมชาติไทย ถ้าว่ากันตามตรง เขาเพิ่งจะรู้จักฟุตบอลไทยเพียงเล็กน้อยจากการได้ดูฟุตบอลไทยลีก 2 นัด ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

อีกทั้งเขายังคงหาญกล้าในการรับงานคุมทีมชาติ 2 ชุดพร้อมกันทั้งชุดใหญ่และยู-23 ซึ่งทั้งสองชุดมีโปรแกรมสำคัญรออยู่ในแบบที่ต้องบอกว่า พลาดไม่ได้

สุดท้ายการเลือกซื้อหวยของสมาคมฟุตบอลฯ ในครั้งนี้ จะเป็นหวยที่ถูกรางวัลใหญ่ รางวัลเล็ก หรือไม่ถูกรางวัลเลย ก็ต้องต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์

ขอปิดท้ายด้วยการกล่าวคำต้อนรับโค้ชใหม่ด้วยภาษาบ้านเกิดของเขาว่า “อิ-รัช-ชัย-มา-เซะ” ยินดีต้อนรับนะครับ อากิระ นิชิโนะ