จรัญ พงษ์จีน : ฟอร์มรัฐบาล “ประยุทธ์ 2” งานนี้ ใครได้-ใครเสีย

จรัญ พงษ์จีน

ในที่สุดคลื่นลมการเมืองที่แปรปรวนขนาดหนักในพรรค “พลังประชารัฐ” และทำท่าจะแคนนอน กระทบชิ่งถึงการฟอร์มรัฐบาลของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ให้ชะงักงันไปพอสมควร ก็กลับเข้าสู่ “ภาวะปกติ”

ระเบิดลงโดย “กลุ่มสามมิตร” นำทัพด้วยมวยใหญ่ “สมศักดิ์ เทพสุทิน-สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ-อนุชา นาคาศัย” เล่นบทเสือทลายห้าง ช้างทลายโรง เสนอจุดยืน 5 ข้อ เนื้อหาโดยสรุปคือ

รายชื่อคณะรัฐมนตรี ต้องเป็นไปตามข้อตกลงเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ที่ว่า

1. “นายสมศักดิ์ เทพสุทิน” จะได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม

2. “นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” จะได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

3. “นายอนุชา นาคาศัย” จะได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

หากมีการเปลี่ยนแปลงและสลับตำแหน่งจากเดิม ทางกลุ่มมีความเห็นว่า รัฐบาลจะขาดบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ จะทำให้การบริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อการยอมรับและศรัทธาของประชาชน

“เมื่อมีการประกาศรายชื่ออย่างเป็นทางการแล้ว หากรายชื่อไม่ตรงกับความเห็นของกลุ่มที่ตกลงกันเบื้องต้น ทางกลุ่มจะหารือเพื่อแสดงจุดยืนอีกครั้ง”

“สมศักดิ์-สุริยะ-อนุชา” ไม่ได้ไปหาหมอ ไปแต่ตัวเปล่าๆ โชว์แสนยานุภาพให้เป็นที่ประจักษ์ ด้วยการดึง ส.ส.ในเครือข่าย แสดงขุมกำลังมากถึง 31 นาย เกือบจะครึ่งหนึ่งของพรรคพลังประชารัฐเลยก็ว่าได้

31 เสียง จะล้มยักษ์ ชักคอช้างได้ง่ายดายสำหรับรัฐบาล “ปริ่มน้ำ”

ดังนั้น พลันที่ “กลุ่มสามมิตร” อวดอิทธิฤทธิ์ ทำให้การเมืองเรื่องการฟอร์มรัฐบาล “ตู่ 2/1” องศาเดือดขึ้นมาทันที

แต่สโลว์โมชั่นยังไม่ทันจบ สถานการณ์พลิกผัน อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา “กลุ่มสามมิตร” ที่ว่าแน่ กลับลำ 360 องศา “เสือ” กลายเป็น “แมว” ประกาศ “ตีหมอบ” โยนผ้าทุกกรณี

สุดท้ายโผรัฐมนตรีในสัดส่วนของกลุ่มสามมิตร ออกไฮโลก็ไร้ปัญหา “สมศักดิ์ เทพสุทิน” หนังเหนียวอยู่เพียงผู้เดียว เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ขณะที่ “นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ถอยไปตั้งรับในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมโดยดุษณี

ส่วน “นายอนุชา นาคาศัย” ผู้เป็นน้องรักของ 2 ส. พลีชีพอีกตามเคย ไม่ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และหลุดออกจากสารบบ ในรัฐบาล “ตู่ 2/1” ทุกตำแหน่ง

 

การถอยกรูดชนิดหลังชนกำแพงของ “กลุ่มสามมิตร” ถูกมองว่าเสียมวยไม่เป็นท่า หมดรูป

แต่มองอีกมุมถือว่าคุ้มค่าต่อการลงทุน อย่างน้อยที่สุด ลบคำสบประมาทที่ว่า ศึกเลือกตั้งครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 24 มีนาคม “กลุ่มสามมิตร” ทุ่มทุนสร้างอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่นำทัพพ่ายป่าราบในภาคอีสาน และมี ส.ส.อยู่ในสังกัดตัวเป็นๆ แค่ 6 ที่นั่ง จากสุโขทัย 2 ที่นั่ง ราชบุรี 2 ที่นั่ง และชัยนาท 2 ที่นั่งเท่านั้น รายจ่ายท่วมมากกว่ารายรับหลายสิบเท่า

แต่การแสดงโชว์พลังในวันขู่ฟอดยื่นคำขาด ปรากฏว่า “กลุ่มสามมิตร” มีพิษสงเกินคาดหมาย มี ส.ส.ในสังกัดมากถึง 31 คน เกือบครึ่งของพรรคพลังประชารัฐ

หยิบยื่นความเป็นความตายให้กับรัฐบาล “บิ๊กตู่” ได้สบายๆ

“โฟกัส” ไปดูขุมกำลังใน “พปชร.” ดังที่เคยนำมาขยับขยาย มีอยู่ 3 กลุ่มด้วยกัน

1. “กลุ่มสามมิตร”

2. “กลุ่มสี่กุมารทอง”

และ 3. “กลุ่ม กปปส.”

หัสเดิม “กลุ่มสี่กุมารทอง” ค่อนข้างจะมีพลังไฮเพาเวอร์เหนือกว่าใคร เพราะตัดสินใจไขก๊อกออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี เพื่อมาปฏิบัติภารกิจนำ “พล.อ.ประยุทธ์” กลับตึกไทยคู่ฟ้า ตามใบสั่งของ “ศูนย์อำนาจ”

หัวหน้าป้อมค่าย “สี่กุมารทอง” ที่ยืนทะมึนทึนคอยกำกับฉาก ดังที่ทราบว่าคือ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์”

“สมคิด” สนิทสนมกับ “ส.สมศักดิ์ เทพสุทิน” มาตั้งแต่สมัยรัฐบาล “ยุคทักษิณ” ที่ฝ่ายหนึ่งเป็นรองนายกฯ อีกฝ่ายเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เคารพผูกพันกันมาตลอด

พอปี่กลองทางการเมืองเชิดฉิ่งว่าจะมีเลือกตั้ง บังเอิญว่า “สี่กุมารทอง” ประสบการณ์อ่อนปวกเปียก แต่ได้รับมอบหมายให้เป็น “แม่ทัพ” นำพรรค พปชร. หนทางแห่งชัยชนะจึงยากลำบาก

ต้องอาศัยมือเก๋า ประสบการณ์โชกโชนมาเสริมใยเหล็ก “สมศักดิ์” กับ “สุริยะ” เป็นคอหอยกับลูกกระเดือก เลยถูกดึงมาช่วยอีกแรง พร้อมน้องเลิฟ “อนุชา นาคาศัย”

ช่วงออกจากจุดสตาร์ต “กลุ่มสามมิตร” กับ “สี่กุมารทอง” แยกกันเดินร่วมกันตี สามัคคีกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

ขณะที่อีกมุ้งคือ “กลุ่มอดีต กปปส.เก่า” สี่ซ้าห้าคนถูกดึงตัวมาสร้างภาพลักษณ์ให้กับ “พล.อ.ประยุทธ์”

ประกอบด้วย “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” กับ “พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” และ “สกลธี ภัททิยกุล” 2 คนแรก ประกบซ้าย-ขวา อยู่ทำเนียบ คนหลังถูกวางตัวให้เป็นรองผู้ว่าฯ กทม.

“กลุ่มสี่กุมารทอง” กับ “กปปส.เก่า” ใน พปชร.มีความ “ลักลั่น” กันอยู่ในตัวมากพอสมควร “ฝ่ายแรก” มีตำแหน่งใหญ่ในพรรคทุกคน แต่ “ฝ่ายหลัง” ได้หยิบชิ้นปลามันในบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 และเบอร์ต้นๆ

แกนนำ 2 กลุ่ม เหยียบตาปลากันมาเรื่อย และมาถึงจุดแตกหักตอนตัดตัวเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรี

“สี่กุมารทอง” ไม่ได้เป็น ส.ส.เลยแม้แต่รายเดียว “กลุ่ม กปปส.เก่า” ชั่งตวงวัดความสำคัญ ด้วยการเรียงตามลำดับไหล่ เหมือนพรรคการเมืองอื่นๆ การมีที่นั่งเบอร์ 1 บัญชีรายชื่อ หรือ 5 อันดับแรก ต้องได้ขานชื่อนั่งรัฐมนตรีกระทรวงเกรดเอก่อน

ขณะที่ “สี่กุมารทอง” แม้ไม่สมัคร ส.ส.ทั้งเขตและบัญชีรายชื่อ แต่ถือว่าเป็นผู้เสียสละ ลาออกมาก่อตั้งพรรค ทำงานหนักหน่วงกว่า

รอยร้าวใน “พปชร.” ยังระอุต่อไป แบบ “สองรุมหนึ่ง” โดย “กลุ่มสามมิตร” จับมือกับ “กลุ่มสี่กุมารทอง” กินโต๊ะ “กลุ่ม กปปส.เก่า”

ถ้าไม่มีท้าวมาลีวราชห้ามทัพ รับรอง “สนุกแน่”