“เราจะอยู่กันแบบนี้จริงๆหรือ ?” | สนทนา เปิดอก ‘ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ’ เตือนอันตรายหากใช้ความยุติธรรมปนการเมือง

“ถ้าไม่มีใครตั้งใจช่วยกันจริงๆ มันคงไม่เกิดขึ้นแบบที่เห็น สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทั้งหมดนี้ผมเรียกว่าปาฏิหาริย์แห่งหลักนิติธรรม ซึ่งจะเป็นภัยร้ายแรงต่อสังคม ถ้าหากทุกคนทุกฝ่ายไม่ตระหนักแล้วก็ไม่ช่วยกันพยายามทำให้สิ่งเหล่านี้มันหมดไป” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ตอบคำถามทันทีหลังจากที่ชวนสนทนากรณีคดีล้มประชุมอาเซียน ที่ผู้ต้องหาหลุดคดีเพราะขาดอายุความแล้วสังคมเกิดความสงสัย

: เมื่อแรมโบ้อีสานบอกว่าณัฐวุฒิอย่าสร้างความขัดแย้งเพิ่ม

ณัฐวุฒิย้ำว่า ผมไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ใครก็ไม่รู้ไปทำ มันกำลังกระทบกับหลักสำคัญของประเทศคือหลักนิติธรรม ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า rule of law แต่สิ่งที่กำลังเป็นอยู่นี้ผมว่ามันเป็นรู of law คือการใช้ช่องหรือใช้รูของกฎหมายไปช่วยพวกเดียวกัน และเล่นงานอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้าม

กฎหมายมันจะมีรูไม่ได้ มันไม่ใช่โดนัท และส่วนตัวผมเองไม่ได้ติดใจที่ตัวคุณสุภรณ์ อัตถาวงศ์ พ้นคดี ก็ถือว่าเป็นโชคชะตาราศีเขากำลังงาม สามารถก้าวข้ามคดีความเหล่านี้ไปได้ ผมไม่จำเป็นต้องไปดึงหรือรั้งเพื่อให้คุณสุภรณ์กลับมาเป็นจำเลยอีก เมื่อพวกผมถูกฟ้อง ผมก็มีหน้าที่ต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความจริงกันต่อไป ไม่เคยมีแม้แต่สักครั้งเดียวที่ผมจะเรียกร้องให้คุณสุภรณ์กลับมา

ผมเพียงแต่ตั้งคำถามว่า กระบวนการยุติธรรมในประเทศนี้ “เราจะอยู่กันแบบนี้จริงๆ หรือ”

นี่คือทิศทางที่ถูกต้องที่จะนำพาประเทศไปสู่ประชาธิปไตย ไปสู่สันติสุขใช่แล้วหรือ?

ส่วนคนจะมองว่ากระบวนการยุติธรรมหากไม่เป็นธรรมแล้ว จะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวได้หรือไม่ ผมมองว่าประเทศนี้มีน้ำผึ้งหลายหยดแล้ว ก็ต้องระวังอย่าให้มันเต็มขวดเต็มไห สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นแล้วมันขัดต่อสายตา ขัดต่อความรู้สึกของประชาชน

อย่าไปนึกว่าเวลาจะทำให้ลบเลือนหายไป มันไม่ง่าย ผู้มีอำนาจต่อให้ท่านยิ่งใหญ่มั่นใจว่าไม่มีอะไรจะสั่นคลอนท่านได้ แต่ว่าสิ่งเหล่านี้แหละที่มันกำลังปะทะอยู่กับสายตาประชาชน

แล้วเมื่อใดก็ตามที่ท่านมองข้ามหรือว่าทำซ้ำๆ ก็คงเป็นเรื่องที่ท่านต้องระมัดระวังให้ดี

: มุมมองต่อการตอบคำถามของนายกรัฐมนตรีว่าไม่มีช่วยใครได้

ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาในยุคของท่านพูดหลายเรื่อง แต่ผมไม่มั่นใจว่า คนส่วนใหญ่เชื่อท่านกี่เรื่อง และในเรื่องนี้ก็เป็นสิทธิ์ของท่านที่จะพูด แล้วก็เป็นสิทธิ์ของผมที่จะไม่เชื่อ

คำถามของผมคือว่า ถ้าหากบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีการช่วยเหลือกัน หรือเป็นไปตามกฎหมาย สิ่งที่มันเกิดขึ้นนี้เรียกว่าความผิดพลาดไหม?

และเมื่อเกิดความผิดพลาดในหน้าที่ของหน่วยงานรัฐจะต้องมีคนรับผิดชอบหรือเปล่า?

ต้องมีการสืบสาวราวเรื่องหรือไม่ว่าหน่วยจับกุมทำไมไม่จับ หรือเกิดอะไรขัดข้องตรงไหนต้องเรียกข้อมูล นำหลักฐานมาดูใหม่หรือไม่ว่า หน่วยงานผู้มีหน้าที่นั้นได้แสดงความพยายามอย่างชัดแจ้งที่จะติดตามตัวหรือไม่

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจพิจารณาว่าอำนาจมันจะต้องอยู่คู่กับความรับผิดชอบ

: อันตรายที่เกิดจากการนำกระบวนการยุติธรรมมาเกี่ยวข้องกับการเมือง

มันจะทำให้สังคมเกิดความขัดแย้งแตกแยกแล้วมันจะทำให้หาข้อยุติความขัดแย้งเหล่านี้ไม่ได้เสียที

ก็เมื่อกระบวนการยุติธรรมไม่ว่าจะในขั้นตอนใดกำลังถูกตั้งคำถามถูกมองด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัย

“มนุษย์เราจะสูญเสียอะไร จะขาดหายอะไรไปในชีวิตบางทีมันก็พอทนทานรับได้ แต่ถ้าขาดความยุติธรรม บางทีมันเป็นเรื่องเจ็บปวดเกินจะทนได้ แล้วความอยุติธรรมนี้มันไม่จำเป็นต้องเกิดกับตัวเองนะครับ หากแต่มันเกิดขึ้นกับใครก็ตามแล้วเราสัมผัสได้พบเห็น เราก็รับไม่ได้”

“นี่คือความหมายและความสำคัญของมัน”

: กระแสสังคมออนไลน์ก็อาจจะมองว่าไม่ควรตีโพยตีพาย ต้องเคารพกระบวนการ

ในสังคมที่ขัดแย้งกันมานานกว่า 10 ปี ไม่ว่าเรื่องอะไรมันย่อมมีคนเห็นต่างกัน อย่างที่เราสังเกตในสังคมออนไลน์ในการแสดงออกของผู้คนทั่วๆ ไปเมื่อมันมาเป็นประเด็นทางการเมือง ที่แสดงออกโดยบุคคลต่างฝ่าย ก็จะมีปฏิกิริยาของอีกฝ่ายหนึ่ง

ดังนั้น เรื่องเหล่านี้ใครจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไรผมรับฟัง แต่ผมเชื่อในความจริง ผมเชื่อในวิจารณญาณของผม ส่วนใครจะบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมแล้ว ชอบโดยกฎหมายแล้ว เป็นหลักความยุติธรรมจริงแท้ก็เชิญ แต่ผมไม่เชื่อ

ผมเชื่ออีกแบบหนึ่งแล้วผมมั่นใจว่าสิ่งที่ผมเชื่อเป็นความจริง

ส่วนตัวผมไม่อยากจะวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ เหตุเกิดตรงไหนอยากจะให้พิจารณากันที่ตรงนั้น

แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำว่ากระบวนการยุติธรรม มันหมายถึงทุกขั้นตอนตั้งแต่พนักงานสอบสวนไปจนถึงราชทัณฑ์ ซึ่งในแต่ละขั้นตอนเหล่านี้ ฝ่ายผู้มีอำนาจ มีหน้าที่จะต้องกำกับดูแลและทำให้โปร่งใสชัดเจน คำว่ากระบวนการยุติธรรมจึงจะเป็นทางออกในการแก้ไขความขัดแย้งได้

แต่เมื่อใดก็ตามเกิดถูกตั้งคำถามขึ้นมา มีร่องรอย แสดงว่าน่าจะเกิดจากการใช้อำนาจของผู้ที่มีอำนาจในบ้านเมืองเพื่อประโยชน์ของตน อันนี้แหละครับความหมายมันจะลึกมาก แล้วมันจะลุกลามในความรู้สึกของประชาชนได้รวดเร็วมาก

จากนั้นมันจะกลายเป็นความรู้สึกสะสมของประชาชนมากขึ้นไปอีก และสิ่งที่เรียกว่ากระบวนการยุติธรรมหรือหลักนิติธรรมนี้จะบอบช้ำและเสียหายกว่านี้อีก

สังคมใดก็ตาม ที่กระบวนการยุติธรรมขาดความน่าเชื่อถือจากประชาชนอย่างยิ่งแล้วมันเป็นสิ่งที่น่ากังวลเกินคำว่าอนาคตข้างหน้าจะพากันไปทางไหน

: มองหน้าตา มองโผ ครม.แล้วมีความรู้สึกอย่างไร

ผมเองไม่ค่อยจะให้ความสำคัญกับหน้าตาของ ครม.นี้ เพราะว่าภาพที่ผมเห็นคือการสืบทอดอำนาจของ คสช.

ใครก็ตามที่จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีบริหารงานภายใต้อำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งหมายถึงเป็นการต่อท่อมาจากการรัฐประหารปี 2557 ดังนั้น ใครจะเข้ามาเป็นคงไม่สำคัญ มันสำคัญที่ว่าอำนาจทางการเมืองและท่านเหล่านั้น เข้ามาเพื่อให้การสืบทอดอำนาจสำเร็จได้

ซึ่งส่วนตัวผม พวกเขาขาดความชอบธรรมตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ตั้งแต่ 5 ปีก่อน ที่ผ่านมาภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้องของประชาชนได้ ซึ่งเป็นความสำคัญอันดับหนึ่ง ดังนั้น ต่อให้จะใช้เวลาอีกกี่ปีที่เหลือ ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะทำได้

ส่วนการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีแบบนี้จะนำพาสถานการณ์ความขัดแย้งในทางการเมืองไปในทิศทางใด ผมหวังจากใจว่า แม้ว่าความขัดแย้งจะยังอยู่ ก็อยากจะให้ไปสู้กันในระบบ ในกลไกรัฐสภา ถ้าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็ให้มันเปลี่ยนในสภา รัฐบาลไปไม่ได้ก็ให้นายกฯ ยุบสภา-ลาออก ว่ากันใหม่ ต้องใช้เวลาหน่อยหนึ่ง อดทนกันนิดหนึ่ง เพื่อให้รักษาระบบไว้

การที่ผมพูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าผมหลงใหลรักใคร่รัฐธรรมนูญปี 2560 ต้องช่วยกันรักษารัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่ผมคิดว่า จะอีกกี่เดือนกี่ปีไม่รู้ที่ต้องอดทน แต่เราต้องยืนยันและเชื่อมั่นในระบบ เราต้องรู้จักรอคอย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทเรียนความสูญเสียเจ็บปวด 10 กว่าปีที่ผ่านมา เราควรเอามาเป็นพลัง เป็นประสบการณ์สำคัญแล้วก็เดินต่อไปให้ได้

ดีกว่าการเปิดพื้นที่ให้อำนาจนอกระบบเข้ามาเปลี่ยนแปลง

: ประเมินอายุรัฐบาลสั้น-ยาวอย่างไร

ผมมองว่าความต้องการของผู้มีอำนาจ คงอยากจะอยู่ยาว อยู่ครบเทอม และจะอยู่ต่อไปหลังครบเทอมอีก แต่ส่วนตัวผมเห็นว่ากรอบระยะเวลา 1 ปีน่าจะเป็นกรอบเวลาที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด บวกลบนิดหน่อย

ผมไม่ได้นั่งสาปแช่งเขา แต่สภาพการเมืองแบบนี้ถ้ารัฐบาลยังถูลู่ถูกังไปจนครบ 4 ปี ประชาชนจะอยู่กันยังไง บ้านเมืองจะเป็นสภาพแบบไหน

ผมไม่ได้คิดถึงแค่กลไกของอำนาจ แต่ผู้คนจะเดือดร้อนและได้รับผลกระทบ

ผมอาจจะอคติก็ได้ แต่ขอพูดอย่างตรงไปตรงมา ว่ารัฐบาลนี้แก้ปัญหาอะไรไม่ได้หรอก แล้วก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้ามาแก้ปัญหา หรือว่าปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปประเทศอย่างที่ประกาศเอาไว้ ไม่มีอะไรอธิบายได้เลยว่านี่คือการปฏิรูป มีแต่การแบ่งอำนาจ มีการจัดสรรผลประโยชน์ จัดสรรพวกพ้องเข้ามาดำรงตำแหน่งในการแสวงหาชัยชนะทางการเมืองโดยไม่เลือกวิธีการ

ยิ่งมีการบังคับใช้กฎหมายตามอำเภอใจเพื่อประโยชน์ของพวกตนเองเท่านั้น

นี่คือสิ่งที่ผมมองเห็น

: ประเทศนี้มีความหวังในวันที่มืดสนิทแบบนี้เหรอ

เมื่อใดที่มืดที่สุด มันเป็นสัญญาณว่าความสว่างกำลังจะมาถึง ฟังดูอาจจะเป็นนามธรรม ฟังดูแล้วเป็นคำพูดโลกสวย สวยหรูจับต้องไม่ได้ แต่หัวใจเราจับต้องมันได้ และต้องเชื่อว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่โลกจะอยู่ภายใต้รัตติกาลชั่วนิรันดร์ อรุณรุ่งมันจะต้องกลับมา เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น

สำคัญว่า เราเชื่อว่ามีวันพรุ่งนี้หรือเปล่าเท่านั้นเอง

ชมคลิปสัมภาษณ์เปิดใจทุกเรื่องกับณัฐวุฒิ ได้ที่