ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | ‘ชีวิตจ่านิว’ ไม่ได้มีไว้ให้รัฐ ปล่อยคนประทุษร้ายซ้ำซาก

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

เหตุการณ์ที่สี่ไอ้โม่งรุมตี “จ่านิว” กลางวันแสกๆ เป็นเรื่องซึ่งสร้างความสะเทือนใจให้แก่คนไทยแทบทุกคน

เพราะนอกจากคุณสิรวิชญ์ หรือ “จ่านิว” จะเป็นนักกิจกรรมที่เรียกร้องประชาธิปไตยตั้งแต่เป็นนักศึกษา การรุมทำร้ายยังเกิดริมถนนที่มีผู้คนคับคั่ง โดยอาชญากรไม่เกรงกลัวกฎหมายแม้แต่นิดเดียว

ด้วยหลักฐานทั้งที่ปรากฏในช่วงเกิดเหตุและเมื่ออยู่ในมือแพทย์ผู้ชำนาญ คุณสิรวิชญ์ถูกประทุษร้ายโดยอาชญากรที่มุ่งเอาชีวิตแน่ๆ

เพราะสภาพคุณสิรวิชญ์ในห้องไอซียูสองวันแรกนั้นโต้ตอบอะไรไม่ได้ กระดูกเบ้าตาแตกจนตาขวามีปัญหาเรื่องการมองเห็น และต้องใช้เครื่องให้ออกซิเจนช่วยหายใจจนปัจจุบัน

คลิปจากจุดเกิดเหตุชี้ว่าคุณสิรวิชญ์รอดตายเมื่อคนจำนวนมากตะโกนให้ตำรวจยุติเหตุ สี่อาชญากรจึงไม่ได้หยุดรุมทำร้ายเพราะเห็นแก่ชีวิตของผู้ถูกทำร้าย

คุณสิรวิชญ์รอดเพราะอาชญากรกลัวถูกจับไปดำเนินคดีตามกฎหมาย ไม่อย่างนั้นข่าวที่เราจะเห็นในวันนี้คือคำไว้อาลัยอีกนักกิจกรรมที่จากไปก่อนวัยอันควร

แม้จะยังไม่มีหลักฐานว่าสี่อาชญากรที่ทำร้ายคุณสิรวิชญ์จนเกือบนอนตายข้างถนนคือใคร พฤติกรรมการทำร้ายที่เกิดขึ้นสองครั้งในเดือนมิถุนายนชี้ว่าคุณสิรวิชญ์ถูก “ล็อกเป้า” อย่างต่อเนื่อง

และขณะเดียวกันก็สะท้อนความสวะของรัฐบาลเผด็จการทหารที่ไม่อาจคุ้มครองความปลอดภัยให้ประชาชน

ไม่มีใครรู้ว่าผู้มีอำนาจเกี่ยวพันกับสี่อาชญากรหรือไม่และอย่างไร แต่เมื่อคำนึงว่าการประทุษร้ายคุณสิรวิชญ์เกิดไล่เลี่ยกับการทำร้ายผู้ประท้วงรัฐบาลรายอื่นๆ อย่างคุณเอกชัยและคุณฟอร์ด คนจำนวนมากย่อมเชื่อว่ารัฐบาลหรือคนในรัฐบาลมีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์นี้ ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ก็ตาม

จากคุณเอกชัยถึงคุณฟอร์ดสู่คุณสิรวิชญ์ การประทุษร้ายทั้งหมดจบโดยหาคนผิดไม่ได้

มิหนำซ้ำผู้ก่อเหตุก็ยังยกระดับความรุนแรงจากเผารถสู่การรุมกระทืบและเอาชีวิต แบบแผนของการประทุษร้ายจึงเป็นปฏิบัติการคุกคามด้วยความรุนแรงที่ต่อเนื่องจนทวีความโหดเหี้ยมขึ้นเรื่อยๆ โดยรัฐบาลทหารทำอะไรไม่ได้เลย

ด้วยการปล่อยปละละเลยให้อาชญากรทำร้ายผู้เห็นต่างจากรัฐบาลมานาน คณะรัฐมนตรีทั้งคณะสมควรถูกตำหนิที่ไม่สามารถใช้กลไกรัฐและเจ้าหน้าที่ซึ่งมีมากมายมหาศาลไปเพื่อปกป้องสวัสดิภาพของประชาชนเหล่านี้

และ พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดคือคนที่ควรถูกตำหนิมากที่สุดโดยตรง

กว่าจะถึงวันที่สี่อาชญากรรุมตีคุณสิรวิชญ์จนเกือบตาย นายกรัฐมนตรีไม่เคยแสดงท่าทีว่าจะใช้อำนาจรัฐเพื่อเอาคนผิดมาลงโทษอย่างจริงจังสักครั้งเดียว ไม่มีรัฐมนตรีหน้าไหนในรัฐบาลทหารแสดงความกังวลเรื่องนี้

เช่นเดียวกับสมาชิกสภานิติบัญญัติและพรรคการเมืองที่หนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อไป

เพื่อให้เห็นภาพความต่ำช้าของผู้มีอำนาจทุกฝ่ายยิ่งขึ้น เจ้าหน้าที่รัฐและกลไกรัฐทุกระดับเพิกเฉยต่ออาชญากรรมที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั้งหมด ผู้บัญชาการทหารและตำรวจไม่แม้แต่ครั้งเดียวที่จะพูดปกป้องคุณเอกชัย, คุณฟอร์ด และคุณสิรวิชญ์

การกระทำเพื่อคุ้มครองคนเหล่านี้จริงๆ จึงเป็นเพียงฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง

ผู้มีอำนาจคนเดียวในรัฐบาลที่พูดถึงการทำร้ายประชาชนกลุ่มนี้คือ พล.อ.ประวิตร แต่คำพูดของรองนายกฯ ผู้คุมทหารและตำรวจทั้งประเทศก็แสดงทัศนคติที่ไม่เห็นหัวประชาชนกลุ่มนี้ยิ่งขึ้นไปอีก เพราะคำพูดของท่านคือ “ไปทำอะไรจนถูกเขาตี” หรือ “ไปมีเรื่องกับใครมาบ้าง” ซึ่งเป็นการซ้ำเติมผู้ถูกทำร้ายโดยตรง

ถ้าอาชญากรผู้ทุบตีคุณสิรวิชญ์ปางตายเป็นกลุ่มเดียวกับคนที่ไล่ล่าคุณเอกชัยและคุณฟอร์ด การเพิกเฉยของรัฐบาลและเครือข่ายคือการให้ท้ายว่าทำแบบนี้ต่อได้เต็มที่

และถ้าอาชญากรเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือเกี่ยวข้องกับรัฐอย่างที่สังคมระแวง คำพูดของรองนายกฯ คือใบสั่งว่าจงเดินหน้าทำร้ายคนเหล่านี้ต่อไป

ก่อนที่ร่างของคุณสิรวิชญ์จะถูกรุมกระหน่ำด้วยกระบองโลหะจนเลือดอาบขั้นกระเสือกกระสนคลานหนีเอาชีวิตรอดในสภาพไร้ทางสู้ รัฐบาล, เจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งกลไกรัฐทั้งหมดหันหลังให้กับคุณสิรวิชญ์และคนแบบคุณสิรวิชญ์มานานแล้ว เหลือเพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่ารัฐเกี่ยวพันกับเรื่องนี้แค่ไหนและอย่างไร

พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ที่ชอบโฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นผู้นำที่ทำเพื่อคนไทยทุกคน

แต่การประทุษร้ายคุณสิรวิชญ์ที่วันนี้ถึงขั้นจะฆ่าให้ตายกลางถนนคือหลักฐานว่าท่านไม่ได้ดูแลคนไทยทุกฝ่ายจริงแน่ๆ อย่างน้อยก็ไม่ใช่คนไทยที่เห็นต่างจากท่าน รวมทั้งคนไทยที่เห็นว่าท่านได้อำนาจโดยปราศจากความชอบธรรม

ภาพคุณสิรวิชญ์ในเสื้อขาวนอนจมกองเลือดริมถนนทำให้คนจำนวนมากสะเทือนใจ

เพราะรอยเลือดคือสัญลักษณ์ของความโหดเหี้ยมที่กระทำต่อเด็กหนุ่มผู้รักชาติอย่างบริสุทธิ์จนสู้เพื่อส่วนรวมมาหลายปีแล้ว คุณสิรวิชญ์ที่หลับใหลในเครื่องช่วยหายใจปลุกมโนธรรมสำนึกของคนให้ตื่นขึ้นว่าต้องไม่จำนนต่อไป

ความต่ำช้าที่สี่อาชญากรกระทำต่อคุณสิรวิชญ์ทำให้คุณสิรวิชญ์เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับอำนาจที่อยุติธรรม และเพื่อที่จะไม่ให้สังคมมองว่าเกี่ยวพันกับความอำมหิตต่อไป

หยดเลือดและความบอบช้ำของคุณสิรวิชญ์ทำให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและทีม พล.อ.ประวิตร ปรับท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างที่ไม่เคยเป็น

ด้วย “กระแส” ความโกรธแค้นที่คนแทบทุกกลุ่มมีจนเกิดความระแวงว่ารัฐเกี่ยวพันกับสี่อาชญากร เจ้าหน้าที่รัฐระดับรองพยายาม “เอาน้ำเย็นเข้าลูบ” ด้วยการส่งดอกไม้, พูดแสดงความเสียใจที่เกิดเหตุนี้, เร่งให้ตำรวจรวบรวมภาพจากกล้องวงจรปิดทั้งหมด หรือแม้แต่ส่งกำลังพลไปดูแลคุณสิรวิชญ์ในโรงพยาบาล

อย่างไรก็ดี ในเปลือกนอกที่เจ้าหน้าที่รัฐทำทุกอย่างเพื่อสกัดความไม่พอใจของประชาชนต่อรัฐบาลเผด็จการ องค์ประกอบต่างๆ ในเครือข่ายรัฐบาลกลับทำทุกวิถีทางเพื่อสร้างกระแสว่าคุณสิรวิชญ์ถูกทำร้ายด้วยเรื่องส่วนตัวทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในส่วนของคนกลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องกับอำนาจรัฐโดยตรง

นับตั้งแต่วินาทีแรกที่คุณสิรวิชญ์ต้องเข้าห้องไอซียู ส.ส.และสมาชิกพรรคพลังประชารัฐหลายคนปั่นกระแสว่าสี่อาชญากรพยายามฆ่าคุณสิรวิชญ์ด้วยเรื่องส่วนตัว

หมอวรงค์จากประชาธิปัตย์ร่วมขบวนการชี้นำแบบนี้ หรือแม้แต่ที่ปรึกษา พล.อ.ประวิตร อย่างนายปณิธาน วัฒนายากร ก็ปลุกปั่นประเด็นนี้เช่นกัน

นอกจากการเบี่ยงเบนกระแสโดยลูกสมุนและกองเชียร์รัฐบาลว่าอาชญากรรมกลางเมืองเกิดจากเรื่องส่วนตัว องค์กรสื่อที่เกี่ยวพันกับพรรคพลังประชารัฐก็ใช้หนังสือพิมพ์, ทีวี และโซเชียลปั่นกระแสว่าอาชญากรคือแก๊งทวงหนี้ด้วย ทั้งที่โดยเนื้อแท้แล้วทั้งหมดนี้คือการสร้างเรื่องชี้นำคดีโดยไม่มีหลักฐานแม้แต่นิดเดียว

เมื่อพิจารณายุทธวิธีที่ “รัฐ” กระทำต่อนายสิรวิชญ์ในปัจจุบัน ทิศทางใหญ่ที่รัฐพยายามทำคือปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสารเพื่อลดความไม่พอใจของประชาชนให้มากที่สุด รัฐไม่ได้ใช้อำนาจรัฐเพื่อเอาคนผิดมาลงโทษ แต่รัฐใช้อำนาจเพื่อบอกว่ารัฐไม่ผิด รัฐบาลไม่เกี่ยว และคดีนายสิรวิชญ์ไม่ต่างจากคดีฉกชิงวิ่งราว

การคุกคามนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยคืออาชญากรรมที่อำนาจรัฐกระทำต่อประชาชน รัฐที่ทำแบบนี้คือรัฐที่วิปลาสจนเห็นประชาชนเป็นศัตรู สังคมที่เผชิญเหตุนี้จึงย่อมเห็นรัฐเป็นภัยคุกคามไปด้วย และในที่สุดสายสัมพันธ์ของรัฐกับสังคมก็เหลือเพียงการใช้กฎหมายและอาวุธบังคับด้วยความเกลียดและความกลัว

ถ้าการพยายามฆ่านายสิรวิชญ์ทำให้สังคมไม่พอใจจนหลายฝ่ายในรัฐบาลพยายามปรับตัว คำพูดแรกของ พล.อ.ประยุทธ์ที่พูดถึงเหตุนี้ก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไปอีก นายกฯ อธิบายเรื่องสี่อาชญากรพยายามฆ่าว่า “จ่านิวเป็นจ่าตั้งนาน เมื่อไรจะเป็นหมวด” ซึ่งก็คือการทำเรื่องอาชญากรรมให้เป็นเรื่องตลกธรรมดาๆ

แม้คนไทยจะถูกบังคับให้จำนนกับตลกแบบสถุลรสมาแล้วห้าปี มิจฉาวาจาครั้งนี้ก็สะท้อนทัศนคติที่ไม่เห็นค่าชีวิตประชาชนจนเกินปกติ และถึงแม้อกุศลกรรมนี้ไม่ใช่เรื่องเกินคาดจากผู้นำที่ได้ชื่อว่าเชี่ยวชาญด้านพูดโดยหาแก่นสารไม่ได้ ระดับความด้านชาต่อความรู้สึกประชาชนครั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดา

ทุกร่องรอยของการพยายามฆ่านายสิรวิชญ์คือการพยายามฆ่าสำนึกความเป็นคนของชนในชาติ ทุกความพยายามบิดเบือนเรื่องนี้คือการพยายามทำให้อาชญากรรมทางการเมืองเป็นเรื่องปกติ และทุกคำพูดส่อเสียดของผู้นำคือการสื่อว่าชีวิตของประชาชนไร้ราคา หรืออย่างมากก็เป็นแค่เรื่องเอาไว้เย้ยหยันแดกดัน