จากความคิดเหมาเจ๋อตง-ความคิดเติ้งเสี่ยวผิง สู่สถานการณ์สงครามการค้าสหรัฐ-จีน

สงครามการค้าสหรัฐ-จีน : สู่ขั้นใช้ยาแรง (4)

จีนกับแมวที่จับหนูได้

“แมวที่จับหนูได้” ของจีนในขณะนี้ได้แก่ “ความคิดสีจิ้นผิง” (เรียกเต็มว่า ความคิดสีจิ้นผิงว่าด้วยสังคมนิยม ที่มีลักษณะเฉพาะของจีนในยุคใหม่) ที่ได้รับการรับรองในการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 19 ปี 2017 ความคิดนี้จะเป็นหลักชี้นำในแนวทางนโยบายของพรรคและรัฐต่อไปอีกนาน จนกว่าจะสถานการณ์จะเปลี่ยนยุค

“หนู” ในที่นี้หมายถึง ความฝันของชาวจีนที่ใฝ่ฝันจะเห็นจีนเป็นประเทศสังคมนิยมขั้นสูง ทันสมัย ก้าวหน้า เจริญรุ่งเรือง มีวัฒนธรรมสูง ประชาชนมีความกินดีอยู่ดี

ประเทศเป็นที่ยอมรับมีบทบาทในประชาคมโลก นี้เป็นหนูเป้าหมายตั้งใจจะจับให้ได้ภายในปี 2050

แต่ยังมีหนูจรใหญ่อีกตัวหนึ่งที่ต้องทำให้เป็นกลางหรือหมดพลังในการคุกคาม ได้แก่ สงครามการเงิน-การค้า-เทคโนโลยีที่สหรัฐกระทำต่อจีนชัดเจนตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งอาจเลยเถิดไปสู่ขั้นสงครามใช้กำลังก็ได้ เป็นอุปสรรคใหญ่ในการทำความฝันของชาวจีนให้เป็นจริง

ความคิดสีจิ้นผิงจำต้องปรับใช้ในการนี้ด้วย

ความคิดสีจิ้นผิงกล่าวในทางปฏิบัติเป็นการสืบทอดความคิดและการชี้นำของผู้นำจีนคนก่อน ที่สำคัญรวมเอาความคิดเหมาเจ๋อตงและความคิดเติ้งเสี่ยวผิงไว้ด้วย จึงเป็นเหมือนแมวสามตัวด้วยกัน

ความคิดชี้นำทั้งสาม เสนอในยุคหรือสถานการณ์ที่ต่างกันไป

ความคิดเหมาเจ๋อตงเกิดขึ้นในช่วงจีนยังเป็นสังคมเกษตรต้องการการปลดปล่อย และการสะสมทุนเบื้องต้น ได้แก่ ถ่ายโอนความมั่งคั่งและแรงงานจากชนบทสู่เมือง เพื่อให้เมืองสามารถสะสมทุนและพัฒนาอุตสาหกรรมหนักขึ้นได้ ที่มักทำให้เกิดการล้มละลายในชนบท และการลุกขึ้นสู่ของชาวนา

ความคิดเหมาเจ๋อตงใช้ชี้นำพรรคอยู่ราว 40 ปี ระหว่าง 1940-1979

ความคิดเติ้งเสี่ยวผิงใช้ชี้นำทางความคิดและหลักการของพรรคราว 40 ปี เช่นกัน (1980-2010) เกิดขึ้นในช่วงการพัฒนาเศรษฐกิจ-สังคมที่อุตสาหกรรมมีการพัฒนาไปพอสมควรแล้ว

ประชากรที่อยู่ในชนบทได้ลดลงจากเกือบร้อยละ 90 ในปี 1949 เหลือไม่ถึงร้อยละ 80

ในปี 1982 สามารถสร้างทุนที่จะนำมาใช้ในการลงทุนใหม่ได้พอสมควร

นอกจากนี้ยังมีเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่หลั่งไหลเข้ามาเพิ่มเติมอีก แต่เมืองในยุคเติ้งเสี่ยวผิงก็ยังต้องอาศัยชนบทหลายประการ ได้แก่

ก) การเป็นกองทัพแรงงานสำรองสำหรับเมือง

ข) เป็นตลาดรับซื้อสินค้าอุตสาหกรรม

ค) เป็นที่รองรับกันผลกระเทือนจากวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในระบบทุนนิยมอยู่เสมอ ได้แก่ วิกฤติการเงินเอเชียปี 1997 เป็นต้น

ดังนั้น ตลอดช่วงของเติ้งเสี่ยวผิงจึงยังมีการเคลื่อนไหวสร้างความเข้มแข็งให้ชนบทโดยตลอด มีนโยบาย “มุ่งตะวันตก” เพื่อกระจายความเจริญรุ่งเรืองจากพื้นที่ชายฝั่งทะเลสู่ดินแดนที่ลึกไปทางตะวันตก

จนกระทั่งพัฒนาเป็นโครงการแถบและทางในขณะนี้

อนึ่ง เติ้งเสี่ยวผิง คือผู้นำความคิดเรื่องแมวที่จับหนูได้มาเผยแพร่อย่างกว้างขวางว่า “ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ ขอเพียงจับหนูได้คือแมวที่ดี”

นั่นคือไม่ปฏิบัติอย่างตายตัวตามทฤษฎีเดียว แต่ยึดความเป็นจริงที่มีความหลากหลายทางปฏิบัติ

ความคิดสีจิ้นผิงนั้นเกิดขึ้นในสังคมที่ได้พัฒนาอุตสาหกรรมถึงขั้นระดับสูง และเตรียมก้าวสู่การเป็นผู้นำโลก ประชากรส่วนใหญ่ของจีนอยู่ในเมืองแล้วตั้งแต่ปี 2011 นั่นคือปีนี้มีประชากรเมืองถึงร้อยละ 51.27 (ปี 2017 เพิ่มเป็นร้อยละ 58)

เมื่อเทียบกับความคิดเหมาเจ๋อตงแล้ว ความคิดสีจิ้นผิงมีความซับซ้อนกว่ากันมาก เช่น ความคิดเหมามีการนำมารวมเป็น “สมุดปกแดงเล่มเล็ก” ที่มวลชนเยาวชนจีนสามารถพกพาและศึกษาได้อย่างง่ายดาย

ส่วนความคิดสีจิ้นผิงต้องอธิบายด้วยเทคนิคแผนที่ความคิด เพื่อชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ของโครงสร้างความคิดนี้ บางมหาวิทยาลัยเปิดสอนรายวิชาความคิดสีจิ้นผิงขึ้น แบ่งเป็น 6 ตอน ได้แก่

1) แนวคิดการพัฒนาใหม่ที่ถือประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นใจกลาง

2) การพัฒนาเชิงนวัตกรรม

3) การพัฒนาเชิงร่วมมือ

4) การพัฒนาสีเขียว

5) การพัฒนาแบบเปิด

และ 6) การพัฒนาแบบร่วมอนาคต ระบุว่า หลักสูตรนี้เหมาะสำหรับนักศึกษาปีที่ 4 นักศึกษาปริญญาโท ปริญญาเอก ผู้ปฏิบัติการ และผู้บริหารของพรรคและรัฐ ตลอดจนผู้สนใจทั่วไป

กล่าวอย่างสั้นคือ ความคิดเหมาเจ๋อตงเกิดและใช้ในสังคมเกษตรกร ส่วนความคิดสีจิ้นผิงเกิดในสังคมไฮเทค สิ่งที่เคยรณรงค์และใช้ได้ผลในสมัยเหมา อย่างเช่น การตั้งกลุ่มเยาวชนเรดการ์ด ยากที่จะนำมาปฏิบัติได้อีกในสมัยสีจิ้นผิง เนื่องจากประชากรจีนก็แก่ตัวลงมากด้วย

จะกล่าวถึงความคิดชี้นำทั้งสามโดยเน้นความขัดแย้งกับสหรัฐในระดับต่างๆ เป็นลำดับไป

ความคิดเหมาเจ๋อตงการรับมือกับจักรวรรดินิยมอเมริกา

ความคิดและงานของประธานเหมา มีที่สำคัญ 4 ประการได้แก่

ก) การนำสงครามประชาชนจนปลดปล่อยประเทศจีนได้ในที่สุด อันนี้เป็นผลงานโดดเด่นแบบไม่มีที่ติ

ข) การพัฒนาเศรษฐกิจ-สังคมจีนอย่างก้าวกระโดดภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ นี่ก็เป็นงานโดดเด่นเช่นกัน เป็นหลักนำของการพัฒนาจนถึงปัจจุบัน แต่มีบางโครงการ ได้แก่ “การก้าวกระโดดใหญ่” ใช้หน่วยการผลิตคอมมูนสร้างอุตสาหกรรมหนัก เร่งผลิตเหล็กกล้า เห็นกันว่า เป็นการทำการใหญ่เกินตัว

ค) การกวาดล้างซากเดนระบบฟิวดัล พวกปฏิปักษ์ปฏิวัติ ผู้เดินหนทางทุนนิยม ปัญญาชน ลัทธิแก้ สู่ระดับสูงสุดในการปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรมของชนชั้นกรรมาชีพ (1966-1976) เริ่มต้นด้วย การกวาดล้างสี่เก่า ได้แก่ ประเพณีเก่า วัฒนธรรมเก่า ความเคยชินเก่า และความคิดเก่า งานชุดนี้เป็นสิ่งจำเป็น แต่เมื่อมีการรณรงค์อย่างไม่รู้จบ กระทั่งเข้าโจมตีศูนย์กลางพรรคในการปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรม วิจารณ์กันว่าเป็นการกระทำที่เลยเถิดไป มีอันตรายมาก

ง) เป็นแกนนำต่อต้านจักรวรรดินิยมอเมริกาและลัทธิแก้โซเวียตที่นำโดยครุสชอฟ โดยเฉพาะการต่อต้านสหรัฐที่หวนกลับมาอีกครั้งอย่างคาดไม่ถึง ส่วนรัสเซียกลายเป็นเหมือนเพื่อนตาย

เหมาได้นำการต่อต้านจักรวรรดินิยมอเมริกาอย่างเด็ดเดี่ยว มาตั้งแต่ทำสงครามปลดปล่อย และได้วิเคราะห์อย่างแหลมคมว่าจักรวรรดินิยมและพวกปฏิกิริยาล้วนเป็นเสือกระดาษ ปี 1946 หลังสหรัฐทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ใส่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ เหมาเจ๋อตงให้สัมภาษณ์แอนนา หลุยส์ สตรอง นักหนังสือพิมพ์สหรัฐว่า

“ระเบิดปรมาณูเป็นเสือกระดาษที่พวกปฏิกิริยาสหรัฐใช้ขู่ประชาชน แม้มันดูน่ากลัว แต่แท้จริงไม่ใช่เช่นนั้น จริงอยู่ว่าระเบิดปรมาณูเป็นอาวุธที่สังหารผู้คนได้มาก แต่ผลของสงครามตัดสินโดยประชาชน ไม่ใช่อาวุธเพียงไม่กี่ชิ้น พวกปฏิกิริยาทั้งหลายล้วนเป็นเสือกระดาษ ภายนอกพวกปฏิกิริยาดูน่ากลัว แต่ในความเป็นจริงไม่ได้มีอำนาจมากเลย”

(ประธานเหมาเห็นว่าที่ญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะสหภาพโซเวียตประกาศสงครามกับญี่ปุ่น และจะทำลายล้างกองทัพญี่ปุ่นใน แมนจูเรีย) อย่างไรก็ตาม จีนเองได้พัฒนาระเบิดปรมาณูอย่างรวดเร็ว และทดลองเป็นผลสำเร็จครั้งแรกในปี 1964

ในการสนทนากับผู้นำชาวละตินอเมริกาสองคน ปี 1956 เหมากล่าวว่า

“ขณะนี้จักรวรรดินิยมอเมริกามีอำนาจมาก แต่ในทางเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้น มันอ่อนแอมากทางการเมือง เพราะได้แยกตัวจากมวลประชาชนและเป็นที่เกลียดชังของทุกคนรวมทั้งประชาชนอเมริกันด้วย โดยลักษณะภายนอกแล้วมันทรงพลัง แต่ที่จริงแล้วไม่มีอะไรต้องกลัว มันเป็นเสือกระดาษ ภายนอกเป็นเสือแต่ทำจากกระดาษ ไม่สามารถทนลมฝน ผมเชื่อว่าสหรัฐหาใช่อื่นใดนอกจากเสือกระดาษ” (ดูหัวข้อ U.S. Imperialism is a Paper Tiger ใน Marxist.org 12/07/1956)

ผู้นำจีนขณะนี้อาจมองว่าสหรัฐเป็นเสือกระดาษเช่นเดียวกัน แต่เห็นว่าไม่พูดดีกว่า เพราะเป็นการแบ่งฝักฝ่ายมากไป และจีนต้องการสร้างมิตรทั่วโลกในระบบตลาดเพื่อโดดเดี่ยวสหรัฐ

อนึ่ง ท่วงทำนองแนวทางมวลชนสมัยประธานเหมา ยังคงได้รับการสืบทอดมาจนถึงสมัยสีจิ้นผิงโดยเรียกชื่อว่า “การพัฒนาที่ถือประชาชนเป็นศูนย์กลาง”

ความคิดเติ้งเสี่ยวผิง : ตลาดแบบสังคมนิยมที่หมอบต่ำ

ความคิดเติ้งเสี่ยวผิงประกอบด้วยสองส่วน

ส่วนแรก ได้แก่ ระบบตลาดแบบสังคมนิยมที่มีลักษณะเฉพาะของจีน คือการเปิดกว้างให้สินค้าและเงินทุนจากตะวันตกไหลบ่าเข้ามาอย่างมีการจำกัดเขตพื้นที่และมีเงื่อนไข

เช่น เข้มงวดในการนำเงินตราออกนอกประเทศและการถ่ายโอนเทคโนโลยี

การให้บางพื้นที่ได้แก่บริเวณชายฝั่งทะเลรวยก่อน เพราะหากจะจัดการให้ทุกพื้นที่ร่ำรวยอย่างได้สมดุล อย่างที่พยายามปฏิบัติในสมัยประธานเหมาแล้ว นอกจากจะไม่ประสบความสำเร็จแล้ว ยังฉุดรั้งการพัฒนาของจีนอย่างไม่น่าให้อภัย

ส่วนที่สอง ได้แก่ การหมอบต่ำ ไม่แสดงตนขัดแย้งกับสหรัฐ นอกเสียจากเป็นเรื่องหลักการและผลประโยชน์ใจกลาง เช่น การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ และนโยบายจีนเดียว ในสมัยที่ใช้ความคิดเติ้งเสี่ยวผิงชี้นำ ก็ยังเกิดความขัดแย้งสหรัฐ-จีนในหลายกรณีด้วยกัน

 AFP PHOTO / FRED DUFOUR

ที่ควรกล่าวถึงได้แก่

1) กรณี “หกคำสัญญา” ที่ประกาศสมัยประธานาธิบดีเรแกนปี 1982 เป็นการจัดความสัมพันธ์สหรัฐ-ไต้หวันใหม่ หลังจากที่ยอมรับนโยบายจีนเดียวไปแล้ว “หกคำสัญญา” ได้แก่

ก) สหรัฐจะไม่กำหนดวันเลิกขายอาวุธให้แก่ไต้หวัน

ข) สหรัฐจะไม่เปลี่ยนแปลงถ้อยคำในกฎหมายความสัมพันธ์ไต้หวัน (ประกาศใช้ตั้งแต่ปี 1979 สมัยประธานาธิบดีคาร์เตอร์) ที่จะปกป้องไต้หวัน

ค) สหรัฐจะไม่ปรึกษาหารือกับจีนเป็นการล่วงหน้า ก่อนที่จะตัดสินใจขายอาวุธให้แก่ไต้หวัน

ง) สหรัฐจะไม่เป็นตัวกลางในการเจรจาระหว่างไต้หวันกับจีน

จ) สหรัฐจะไม่เปลี่ยนสถานะตนเกี่ยวกับอธิปไตยของไต้หวัน ให้ปัญหานี้เป็นเรื่องของชาวจีนที่จะตกลงโดยสันติ และจะไม่กดดันให้ไต้หวันเข้าเจรจากับจีน

ฉ) สหรัฐจะไม่ยอมรับอย่างเป็นทางการว่าจีนมีอำนาจอธิปไตยเหนือไต้หวัน

ประธานาธิบดีสหรัฐคนต่อมาก็ปฏิบัติตามคำสัญญานี้ ในสมัยทรัมป์ยิ่งหนักขึ้นไปอีก หลังชนะการเลือกตั้ง ยังไม่ได้ทำพิธีสาบานตน ทรัมป์ได้โทรศัพท์พูดคุยกับไซ่อิงเหวิน ประธานาธิบดีของไต้หวัน เพิ่มความร่วมมือทางทหารกับไต้หวันอย่างออกนอกหน้า ส่งเรือรบไปแล่นในช่องแคบไต้หวันหลายครั้ง และประกาศว่าจะขายอาวุธแก่ไต้หวันมูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์ และการกระทำของเขาก็ไม่ได้ถูกต่อต้านในสหรัฐ เป็นอันว่าปัญหาไต้หวันไม่ได้ถูกแก้ไขตามที่จีนหวังไว้

2) กรณีเทียนอันเหมิน เป็นประเด็นสิทธิมนุษยชน ที่สหรัฐใช้เป็นข้ออ้างสำคัญในการกดดันแทรกแซงกิจการภายในของจีนอย่างชอบธรรมแม้กรณีนี้ยุติลง แต่หัวหอกการเรียกร้องสิทธิประชาธิปไตยย้ายไปอยู่ที่ฮ่องกง มีการจัดงานรำลึกเหตุการณ์เทียนอันเหมินเป็นประจำ ในต้นเดือนมิถุนายน 2019 ชาวฮ่องกงนับหมื่นจัดงานจุดเทียนรำลึก “30 ปี เทียนอันเหมิน”

และในกลางเดือนมิถุนายน เกิดการประท้วงร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่เสนอโดยฝ่ายบริหารของฮ่องกง มีขนาดใหญ่และรุนแรง จนผู้บริหารประกาศระงับการเสนอกฎหมายนี้ เป็นเรื่องยืดเยื้ออีกเรื่องหนึ่ง

3) กรณีการค้าและเงินตรา เมื่อสหรัฐเสียเปรียบดุลการค้าแก่จีนเพิ่มขึ้น ก็ได้เพิ่มแรงกดดันต่อจีนเป็นประการต่างๆ เช่น กล่าวว่าจีนจงใจกดค่าเงินหยวนให้ต่ำ เพื่อสนับสนุนการส่งออก บีบให้จีนต้องเลิกการกำหนดค่าเงินหยวนตายตัวเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ และใช้การเทียบค่ากับตะกร้าเงินสกุลสำคัญ ทำให้ค่าเงินหยวนพุ่งสูงขึ้น กล่าวว่า จีนขโมยเทคโนโลยีของสหรัฐและตะวันตก ไม่เข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา และกล่าวว่า จีนไม่ได้เปิดตลาดให้เสรีแต่ใช้องค์กรของรัฐเข้ามาแทรกแซง ความขัดแย้งเหล่านี้ในที่สุดระเบิดเป็นสงครามการค้าในสมัยทรัมป์

ในอีกด้านหนึ่ง จีนมีความเห็นว่า สหรัฐใช้การครองความเป็นใหญ่ของเงินดอลลาร์เพื่อชักใยค่าเงินดอลลาร์และเศรษฐกิจโลก ดังนั้น จำต้องเตรียมรับมือไว้

ฉบับต่อไปจะกล่าวความคิดสีจิ้นผิงว่าด้วยความเป็นอิสระ ระบบการค้าใหม่และการเดินทัพทางไกลใหม่