อุรุดา โควินท์ / อาหารไม่เคยโดดเดี่ยว : ฉลองการเริ่มต้น

ฉันมีปีกบนหนึ่งกิโลเต็มเป็นโจทย์ เหตุก็เพราะฉันฝากเพื่อนซื้อปีกไก่ ความหมายของฉันคือปีกเต็ม แต่ฉันพูดสั้นไป เพื่อนชอบปีกบน เธอก็เลยซื้อปีกบนมา

“ทำไมอ่ะ แกไม่กินปีกบนเหรอ” เพื่อนสงสัย

ฉันหัวเราะ ฉันกินทุกปีก หมาของฉันต่างหาก ที่ต้องกินปีกเต็ม ปีกเต็มมีกระดูกเยอะ และเป็นกระดูกอ่อน เหมาะเอามาทำบาร์ฟเลี้ยงหมาเด็ก

“ไหนๆ ซื้อมาแล้ว ช่วยฉันกินก็แล้วกัน” ฉันบอกเธอ

“ไม่มีปัญหา เย็นๆ ฉันกลับมากินนะ มีนัดตอนบ่ายน่ะ”

ไม่ต้องถามให้มากความ ถ้าแต่งตัวจัด และร้อนรนขนาดนี้ ต้องนัดหนุ่มๆ อยู่แล้ว ที่สงสัยก็คือ ทำไมไม่นัดกินข้าวเย็นไปเสียเลย แต่ก็นั่นละ ต่อให้เป็นเพื่อน เราก็ควรเว้นระยะทางของความสัมพันธ์ เพราะนั่นหมายถึงการให้เกียรติ

ฉันจ้องตาเธอ เห็นเงาหม่นหมองมัน ซ่อนอยู่ด้านหลังความสดใสของเธอ ฉันจะไม่ถามว่ามันมาจากไหน แต่ฉันจะทำอาหารรอเธอ อาหารจากปีกบนที่เธอซื้อมา

“แกไปเหอะ ฉันรออยู่บ้าน มากินข้าวเย็นกันนะ”

“ฮือ ขอบใจ” เธอยิ้ม-รอยยิ้มที่เปิดเผยความเศร้า

ฉันบีบแขนเธอ

สำหรับผู้หญิงอายุสี่สิบกว่า มันยากที่จะเล่าเรื่องเศร้าให้คนอื่นฟัง อันที่จริง แค่แสดงความเศร้า เราก็ไม่อยากทำ

เธอเดินตัวตรงไปขึ้นรถ ดูจะตรงไปสักหน่อยสำหรับเธอ เธอก็เหมือนฉัน ถ้าไม่ใส่ส้นสูง ท่าเดินของเราจะคล้ายผู้ชาย เราห่อไหล่นิดหน่อย หลังงอเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ทิ้งสะโพก

ต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว เรามีสะโพกนี่นะ

 

เธอออกไปไม่นาน ฝนก็ตก ฝนเม็ดใหญ่ ลงเม็ดแน่นหนา แปลก-ฝนมาหนักวันนี้ ทั้งที่ย่างเข้าฤดูฝนมาพักหนึ่งแล้ว

มองปีกบนถุงใหญ่ที่เธอซื้อมา ฉันควรทำอะไรกินดี เธอชอบกินอาหารที่มีน้ำ จริงๆ แล้วเธอกินง่ายมาก ขอแค่เป็นซุป และรสไม่จัด ตอนที่เราอยู่หอพักเดียวกัน เธอกินก๋วยเตี๋ยวใกล้หอพักเกือบทุกวัน ช่วงปลายเดือน เธอกินก๋วยเตี๋ยวร้านเดิมวันละสามมื้อ เพราะมันถูก เราก็เหมือนเด็กหอทั่วไป พอปลายเดือน เงินเหลือน้อย ไม่กล้าขอเงินแม่เพิ่ม ที่เราต้องทำ คืออยู่ให้รอดจนกว่าเงินงวดใหม่จะมา

เราอดด้วยกันมามาก ต้มมาม่าหนึ่งห่อกินกับข้าวด้วยกันก็บ่อย ตอนเป็นวัยรุ่น ต่อให้ลำบาก เราก็ไม่รู้สึกถึงความลำบาก

โลกทั้งใบรอเราอยู่ เราเชื่ออย่างนั้น เป็นความเชื่อที่อยู่กับเราไม่นานเลย ถึงวันนี้ ต่อให้อยากจะเชื่อ เราก็ไม่สามารถเชื่ออีกแล้ว

ความจริงต่างหากที่รออยู่ ความจริงทั้งที่เราต้องการและไม่ต้องการ แต่เราก็ผ่านมันมาได้ และทุกครั้งที่ผ่านหมายถึงเราเข้มแข็งขึ้น

ฉันไม่ห่วงเพื่อนเลย ถ้าจะมีอะไรที่ฉันควรเชื่อมั่น ก็คือความเข้มแข็งของเธอ

มีดอกกะหล่ำอยู่ในตู้เย็น เอามาผัดกับหมูก็อร่อยดี ทำต้มยำไก่ให้เธอ เป็นต้มยำรสนวล ที่เธอต้องติดใจ

 

ตั้งน้ำต้มปีกบน ใช้น้ำแค่พอท่วม พอน้ำเริ่มร้อน ฉันใส่หัวหอมทุบลงไป ยิ่งใส่เยอะ น้ำจะยิ่งอร่อย ตามด้วยมะเขือเทศหั่นเสี้ยวสามลูก เกลือนิดหน่อย พอน้ำเดือดเราก็เบาไฟลง เคี่ยวต่อราว 20 นาที เปรี้ยวจากมะเขือเทศและหวานจากหัวหอมจะสำแดงตน

เป็นต้มยำที่คล้ายแกงจืด แต่รสเข้มข้นกว่า ต้มยำที่เด็กก็กินได้ ไม่มีความซ่านหรือความร้อนจากตะไคร้ ข่า ใบมะกรูด

ปรุงรสเล็กน้อยด้วยน้ำปลากับมะนาว โดยระวังไม่ให้เปรี้ยวนำหน้าเค็ม อีกทั้งเค็มก็ไม่ควรมาก ส่วนความเผ็ด เราใช้พริกแห้งทอด ไม่กี่เม็ด หักโรยหน้า เรียกได้ว่าแทบจะไม่เผ็ด

ได้รสที่พอดี ฉันก็ปิดเตา รอเพื่อนกลับมาค่อยอุ่น แล้วโรยผักชีฝรั่งกับต้นหอมตอนเสิร์ฟ

 

เธอกลับมาเร็วกว่าที่ฉันคิด ดูเหนื่อย แต่เธอก็ยิ้ม “อ่ะ ซื้อลูกชิ้นมาฝาก”

ฉันหัวเราะ ลูกชิ้นทอดแบบนี้ เรากินเกือบทุกวันตอนต้นเดือน กินจนแม่ค้าลูกชิ้นจำหน้าได้ กินแทนข้าวก็บ่อย

“กินข้าวเลยมั้ยอ่ะ” ฉันถาม

เธอยิ้ม “คุยกันก่อนดีกว่า”

“มีเรื่องจะเล่าละสิ” ฉันหยอก

ฉันดีใจที่เธอจะเล่ามันออกมา หากเธอพร้อมเล่า ก็หมายความว่าเธอกำลังจะปล่อยมันผ่านมือ ซึ่งเป็นเรื่องดี

“รู้มากนะแก” เธอว่า

“ก็หน้าแกมันฟ้อง ว่าแต่เรื่องยาวมั้ย จะได้หุงข้าวไว้ก่อน”

“มาก…” เธอลากเสียงยาว

เธอพรั่งพรูเรื่องเล่า คล้ายระบายลมหายใจออก เรื่องส่วนตัวที่เราจะเล่าแก่คนที่เราไว้ใจเท่านั้น เรื่องซึ่งเราต้องแน่ใจเสียก่อน ว่าผู้ฟังพร้อมเข้าใจ และไม่ด่วนตัดสินเรา

ก็แค่ฟัง รับฟังอย่างแท้จริง

เธอต้องการเท่านั้น คำปลอบโยนไม่จำเป็น การช่วยเหลือเธอก็ไม่ต้องการ

แน่ละ เธอเข้มแข็งกว่าฉันเสียอีก และเธอเด็ดขาดอย่างเหลือเชื่อ

 

“เจ็บมามาก และต้องเจ็บต่อไป แต่ก็อยู่ได้อ่ะแก” เธอสรุป หัวเราะเสียงใส เสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยพลังงาน และความโล่งอก

จ้องดวงตาเธอ ฉันก็รู้-อาหารเย็นมื้อนี้ แม้แสนธรรมดา ก็ต้องถือเป็นการฉลอง

ใช่แล้วละ เราสมควรฉลอง ไม่สำคัญ ว่าเราแพ้หรือชนะ ผ่านไปได้ก็พอ

เพราะมันหมายถึงการเริ่มต้นใหม่