การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ พวกท่าน…

เราจะย่ำเหยียบหนามไหน่เดินทางไปด้วยกัน…

เพียงบัวที่น่ารัก,

ฉันได้วรรคนี้มาจากไหนรู้ไหม จากการที่วันหนึ่งฉันไปทำงานในแปลงเพาะต้นกล้าใบยาสูบ ซึ่งตอนนี้ฉันออกจากที่นั่นมาแล้ว

โอ ฉันเพิ่งตระหนักขึ้นมาตอนนี้เองว่า วันเวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน ทั้งๆ ที่อีกด้านหนึ่งมันก็ดูเชื่องช้ามากมาย

เหมือนมันเร็วเพราะสิ่งต่างๆ ผ่านมาผ่านไปในชีวิตของฉัน เหมือนก้อนเมฆที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า บางเวลามันก็ปรากฏตัวขึ้นขาวฟู แต่บางครั้งมันก็ลอยทับอยู่เหนือภูเขา ทำให้เกิดเงาเป็นช่วงๆ ไป แต่บางวันฉันก็มองหาก้อนเมฆไม่เห็นเลย หรือจริงๆ แล้วชีวิตของฉันก็ยังละม้ายสายลม ท่ามกลางการคงอยู่และแปรเปลี่ยนของสิ่งต่างๆ…ทุกอย่างก็หายพ้นตาได้ในชั่วเวลา

แต่ทว่า ฉันก็อยู่กับอีกความเชื่องช้า เหมือนเวลาทั้งหดสั้นและยืดขยายได้ในเวลาเดียวกัน มันช้ามากๆ เมื่อคิดถึงเธอ คิดถึงวันที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน ฉันรู้สึกเหมือนว่า แต่ละนาทีคืบคลานเหมือนหอยทากคลานไต่ ดูเอาเถอะ ไม่มีอะไรสมบูรณ์เลยสักอย่าง

แต่ฉันก็มีความหวังนะ นับจากที่ลาออกมาจากงานแปลงเพาะต้นกล้า ฉันออกมาท่ามกลางคำถามมากมาย สายตาเหยียดเย้ยไยไพ (ฉันชอบคำนี้ล่ะ ได้มาจากหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งที่เธอนั้นเองส่งมาให้) ฉันรู้ว่าใครๆ ก็มองเห็นฉันเป็นคนโง่ แต่ก็เพราะฉันมีเธอ เมื่อรู้ว่ามีเธอเข้าใจ คนอื่นๆ ก็ไร้ความหมาย

ชีวิตของฉัน ผันผ่านสิ่งนั้นสิ่งนี้มาเหมือนสายลม หรือสิ่งเหล่านั้นเป็นสายลมพัดผ่านตัวฉัน มันจะเหมือนกันหรือไม่ฉันยังใคร่ครวญกับมันอยู่ แต่ ณ จุดนี้ ที่ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะออกมารับจ้างอิสระ เพื่อจะได้ทำจุลสารให้เต็มที่ และรอเวลาที่เราจะได้ปลูกบ้านด้วยกัน

ฉันอยากบอกเธอว่า สิ่งที่เรากำลังจะทำด้วยกันนี้มีค่าในชีวิตฉันอย่างเหลือเกิน…นั่นเอง แม้เวลาจะช้าและเร็วเหลือเกิน แม้จะไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบสักอย่าง แต่เมื่อมีเธอร่วมทาง เมื่อเธอจะเหยียบหนามไปเป็นเพื่อนกัน ฉันซาบซึ้งใจยิ่งนัก

ถึงไหนแล้วนะเพียงบัว…อ้อ ฉันจะเล่าให้เธอฟังไง เกี่ยวกับวรรคที่ฉันเขียนไป…เราจะย่ำเหยียบหนามไหน่ไปด้วยกัน…วรรคนั้น

 

มีอยู่วันหนึ่ง ฉันไปทำงานในแปลงเพาะตามปกติ แต่วันนั้นหัวหน้าสั่งให้ฉันไปถางหญ้าในแปลงที่อยู่ไกลออกไป เธออาจจะมองไม่เห็นภาพ แต่ฉันจะอธิบายให้ฟังนะ

แปลงเพาะที่เราทำงานอยู่นั้น ตั้งอยู่กลางทุ่งนา เป็นจำนวนหลายสิบไร่ มีบางส่วนขึ้นแปลงไว้เสมอ บางส่วนกำลังเพาะต้นกล้า บางส่วนเป็นที่ตระเตรียมดินและปุ๋ยต่างๆ เรามีเพิงพักมุงใบตองตึงหลังยาวๆ ตั้งอยู่ตรงกลาง มีลำธารสายเล็กๆ ผ่านใกล้

แต่ก็มีอีกหลายส่วน จะมีวัชพืชขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะหน้าใดแล้ว วัชพืชสามารถเติบโตมีชีวิตได้เสมอ แต่พวกหญ้าต่างๆ ไม่ใช่ปัญหาหรอก ประเภทพวกมีหนาม ต้นไมยราพต่างหาก

…วันนั้น เมื่อหัวหน้าสั่งให้ฉันกับเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งไปถางวัชพืชเหล่านั้น มองจากที่ไกลๆ มันก็แค่ที่รกรุงรังสักหน่อย แต่พอเข้าไปใกล้ๆ มันคือป่าไมยราพกว้างใหญ่ หลายต้นสูงจนท่วมหัวของฉัน มันคือต้นไมยราพยักษ์ แต่ที่แย่กว่านั้น มันมีพวกเถาวัลย์ไม้เลื้อยและหมามุ่ยพันเกี่ยวอยู่มากมายเต็มไปหมด

แต่นั่นก็คืองานของฉัน เราต้องใช้ผ้าขาวม้าคลุมปิดหน้าปิดตาให้มากที่สุด กันละออง ป้องกันความระคายคัน พิษจากหมามุ่ยนั้นร้ายกาจสิ้นดี เธออาจจะจินตนาการถึงไม่ถูก แต่ขอบอกว่า มันจะทำให้เราต้องเกาตัวเองจนผิวหนังแทบถลอกเลือดออกซิบๆ ได้เลย มันเป็นเช่นนั้น

วันนั้นเอง ที่ฉันได้พบในสิ่งที่ไม่ได้ประหลาดใจอะไรเลย…ก็แค่อีกครั้งหนึ่ง ที่ได้เห็นความเห็นแก่ตัวของคน เพื่อนร่วมงานของฉัน คนที่ฉันก็ไม่เคยรัก ไม่เคยชัง เราเพียงเป็นคนทำงานด้วยกัน แต่ในวันที่เราต้องมาจับคู่ทำงานด้วยกัน สิ่งที่คนคนนั้นทำก็คือ

เมื่อเข้าไปถึงที่ทำงาน คนคนนั้นนั่งพักเกือบตลอดเวลา และตรงไหนที่มีหนามใหญ่ๆ มีหมามุ่ยมากมาย ก็จะชี้ให้ฉันเข้าไปทำ เขาบอกว่าเขาเป็นโรคหัวใจอ่อน ทำงานหนักไม่ไหว ฉันอดแปลกใจไม่ได้เพราะทำงานมาด้วยกันตั้งนาน เราก็อยู่กับงานหนักกันมาตลอด แต่เหตุใดจึงร่างกายมาอ่อนแอเสียทันทีทันใด

ตอนแรกฉันก็บอกเขาว่า จะบอกกับหัวหน้าไหม ถ้าไม่ไหวจะได้ลางานไปพัก หรือให้หัวหน้าเปลี่ยนคนมาแทนให้ เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร เขาจะพยายามสู้

 

แต่แล้ว “การสู้” ของเขา ก็คือสู้ด้วยลมปาก เขาเอาแต่นั่งชี้บอกให้ฉันทำตรงนั้นตรงนี้ จุดใดที่มีหนามมากๆ หรือเมื่อฉันฟันต้นไมยราพยักษ์ลงมากองแล้ว ด้วยมีดที่มีกันคนละด้าม เขาก็จะรีบเลี่ยงพ้นไป และบางครั้งเขาก็ยังตระหวัดฟันหมามุ่ยโดยไม่สนใจเลยว่า มันจะกระเด็นมาโดนฉันหรือเปล่า

จนเราทำงานกันไปเกือบหมดวัน หัวหน้ามาตรวจดู แล้วก็ตำหนิว่า ทำไมถึงทำงานกันได้ช้านัก มันควรจะได้เนื้องานมากกว่าที่ตาเห็น เธอเชื่อมั้ย คนคนนั้นที่เอาปากเป็นอาวุธ ก็ใช้อาวุธที่น่ารังเกียจนั้นอีกครั้ง

เขาชิงพูดว่า ได้งานน้อยเพราะว่าฉันไม่ค่อยสบาย ทำให้ต้องพักอยู่เป็นระยะ เขาว่าจะไปบอกหัวหน้าแล้ว จะให้ฉันกลับไปพักก่อนไหม แต่เขาก็เกรงใจ กลัวฉันจะไม่ได้ค่าแรง เขาจึงพยายามทุ่มทำเต็มที่ แต่ก็ทำได้เท่านี้ เขารู้สึกไม่ดีเลยที่ทำให้งานล่าช้า แต่ว่าเขาก็เห็นใจฉัน

หัวหน้าดูจะโกรธๆ ซึ่งดูออกว่าโกรธฉัน แต่ก็ยกย่องคนคนนั้นที่มีน้ำใจและมีความรับผิดชอบ ฉันมานึกได้ว่า เวลาทำงานอยู่ขอบนอกๆ ที่สามารถมองเห็นจากส่วนอื่น เขาก็จะออกท่าทางอย่างเต็มแรง แต่หากก้าวเข้าไปในพงหนาม ปราศจากสายตาใดมองมาถึง เขาก็จะเปลี่ยนแปลงเหมือนกิ้งก่าเปลี่ยนสี

ฉันคิดถึงสิ่งเหล่านี้ ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ได้แปลกใจ ฉันเจอความโหดร้ายและเห็นแก่ตัวของคนมานักต่อนัก แต่เพียงอดผิดหวังไม่ได้ และฉันก็คิดว่า…ถ้าจะร่วมทางกัน ฉันจะไม่มีวันปล่อยให้เธอเหยียบหนามไหน่ไปเพียงคนเดียวแน่นอน

เพียงบัว, ความไว้เนื้อเชื่อใจจึงสำคัญมากสำหรับฉัน ความซื่อตรงต่อกัน และการตรงไปตรงมา ไม่ต้องมีคำสัญญาต่อหน้าใคร เราแค่ควรรู้กับใจตัวเอง นั่นคืออีกสิ่งที่ฉันปรารถนา และฉันก็กำลังมีความหวังว่า เธอจะเป็นอีกคน, อีกครั้ง, ที่ฉันจะฝากความหวังได้

 

เพียงบัว,

เธอสังเกตไหมว่า ก่อนหน้านี้ฉันมักจะใช้คำว่า “เรา” แทนตัวเอง แต่ในจดหมายฉบับนี้ ขอใช้คำว่า “ฉัน”

ไม่ใช่เพราะฉันเริ่มสนิทสนมกับเธอมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ฉันมีความรู้สึกใหม่ขึ้นมาอีกอย่าง บางที…ฉันก็รู้สึกว่าเรามีหัวใจดวงเดียวกัน

เราอาจจะต่างกันที่ร่างกาย เรามีร่างกายของใครของมัน แต่บางวัน ฉันก็อดคิดไม่ได้ว่า เหมือนเธออยู่ในฉัน และฉันเป็นส่วนหนึ่งของเธอ (ใช่หรือไม่) ในกระจกเงาที่ล่องหนอยู่ เรารู้กันอยู่ลึกๆ ใช่มั้ยว่าเรามีกันและกัน เราเพียงแต่มีชีวิตคู่ขนานต่างสถานที่ ณ เวลานี้

แต่ในไม่ช้า เราจะมาบรรจบพบกัน

 

เพียงบัวที่รัก,

ฉันก็ไม่รู้หรอกว่า ในอนาคตพวกเราจะเป็นอย่างไร แต่เช่นกัน ความคิดที่จะแต่งงานก็ไม่มีในหัวของฉันเลย เคยมีผู้ชายอยากได้ฉันไปเป็นเมียของเขา และเพื่อนๆ ของฉันที่ออกชั้นประถมมาด้วยกันก็แต่งงานกันไปหลายคนแล้ว

ฉันก็อาจเหมือนเธอ ไม่แน่ใจและไม่ศรัทธาในสถาบันครอบครัว ไม่รู้สินะ ฉันเองก็มีความไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ของพ่อกับแม่ พวกเขาเป็นคนดีอย่างแน่นอน และเธอจงมั่นใจได้ว่าพวกเขาจะดีต่อเธอเหมือนที่ดีต่อฉันและน้อง แต่ระหว่างพวกเขาสองคน ฉันเองก็ไม่รู้จะอธิบายได้อย่างไร มันมีอะไรหลายอย่างมักทำให้เกิดคำถามเสมอๆ

คนเราอยู่กันเป็นครอบครัวเพื่ออะไร

ตอนฉันยังเล็กๆ ยายของฉันเกลียดพ่อของฉันมาก และพยายามบอกตลอดว่าพ่อรักแม่ข้างเดียว และพ่อใช้อำนาจบังคับแม่ให้อยู่ในสถานะคู่แต่งงาน แต่เมื่อผ่านวันเวลามาเรื่อยๆ ฉันก็เห็นอีกด้านที่ยายไม่เคยบอก หรือเพราะยายอายุสั้นกว่าจะทันเห็น

พ่อกับแม่ของฉัน พวกเขาสนิทสนมกันมาก รู้เรื่องกันทุกอย่าง พ่อยังสอนแม่ของฉันให้อ่านตัวหนังสือเมือง หรือตัวล้านนาได้จนหมด แม่อ่านออกเขียนได้ทั้งตัวไทยตัวเมือง แม่จึงอ่านจดหมายหรือสมุดของพ่อได้ทุกอย่าง เวลาที่พ่อบอกว่า แอบเขียนจดหมายแนบไปให้เธอ ตามจริงแล้วพวกเขาสองคนก็รู้เห็นไปด้วยกัน

ฉันจึงพูดไม่ถูกว่าพ่อกับแม่อยู่กันอย่างไร พวกเขามีนิสัยใจคอไม่เหมือนกันเลย ไม่เคยชอบอะไรเหมือนกัน แต่พวกเขาก็เอาใจใส่กันและกัน และปราศจากการบังคับควบคุมกัน ยกเว้นเวลาที่แม่ฉันโกรธ (อย่าเพิ่งกลัวนะ แม่ไม่โกรธโดยไร้เหตุผลหรอก) เมื่อแม่โกรธพ่อ ก็จะมีบรรยากาศค่อนข้างน่ากลัวสำหรับคนอื่น แต่พ่อไม่เคยกลัว และฉันก็เหมือนกัน

แต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยโกรธกันข้ามวัน ถ้าเขามีปัญหากัน จะชอบหลบไปพูดกันเงียบๆ สองคน หรือแม่แสดงความดุร้ายออกมา จากนั้นพ่อก็จะพยายามเอาใจแม่อย่างเต็มที่ ไม่นานนักทั้งสองก็จะดีกัน แล้วในบ้านก็จะดำเนินไปตามปกติ

 

เพียงบัวคนดี

ฉันก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่า ถ้าเราอยู่ด้วยกันจริงๆ มันจะเป็นยังไง เราจะเหมือนพ่อกับแม่ของฉัน หรือเหมือนคนอื่นๆ ที่อยู่ด้วยกัน แต่ที่แน่นอนก็คือ ฉันก็ไม่คิดจะแต่งงานกับใคร เธอจึงไม่ต้องกลัวว่าฉันจะเปลี่ยนชีวิตตัวเองไปไหน

มาคุยกันต่อถึงเรื่องความฝันของเรากันเถอะ…

ฉันเห็นด้วยนะ มันจะเป็นกระท่อมหรือเป็นบ้าน มันก็คือบ้านของเรา มันจะต้องสวยงามน่าอยู่ ถึงไม่มีวัตถุอำนวยความสะดวกสบายมากนักก็ตาม แต่มันย่อมไม่เป็นไร เพราะแก่นแท้ไม่ได้อยู่ที่วัตถุไม่ใช่หรือ

ฉันมาคิดว่า เวลาที่เราต้องการแสงไฟ จะเป็นไฟจากเทียน หรือไฟจากหลอดไฟฟ้าก็ค่าเท่ากัน สิ่งที่เราต้องคิดก็คือ อะไรจะสิ้นเปลืองกว่ากัน (ในแง่การเงิน) และอะไรจะปลอดภัยกว่ากัน อย่างนั้นมากกว่า

ว่าแต่ที่เธอเขียนมา เกี่ยวกับกาแฟและเสียงเพลง สารภาพตามตรงว่า ตั้งแต่ออกมาจากเมืองเชียงใหม่ ฉันก็ไม่ได้กินกาแฟอีก ไม่มีให้กินด้วยล่ะ และชีวิตที่ผ่านมาก็ได้กินอยู่แค่ไม่กี่ครั้ง แต่ถ้าเธอชอบมัน ฉันจะพยายามหากาแฟมาชงให้นะ

แต่เรื่องเพลง…ฉันขอบอกอะไรอย่างหนึ่ง ฉันยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอเขียน ความรู้ฉันมีน้อยนัก หวังว่าเธอจะไม่รังเกียจกัน เพลงบูลส์กับเพลงโฟล์กคือเพลงแบบไหน มันใช่แบบเพลงโฟล์กซองคำเมืองของจรัล มโนเพ็ชร หรือเปล่า…เธอเคยฟังเพลงของจรัลไหม คนแถวนี้ชอบเปิดกัน แต่ฉันก็ชอบบ้างไม่ชอบบ้าง มีบางเพลงที่รู้สึกว่าเนื้อร้องไม่ดีเท่าไหร่ ทำให้ฉันฟังไปแล้วมีคำถกเถียงในใจตั้งมากมาย เอาไว้ว่างๆ จะลองจดเนื้อออกมาให้เธออ่าน

ฉันอยากฟังเพลงที่เธอพูดถึงมาด้วย…เพลงชื่อว่าอะไรหรือ ที่ว่า…คลุ้งกระไอแดดหนาว สายลมราวจะกล่อมขับฯ ช่างไพเราะเหลือเกิน ทำนองมันเป็นยังไง เป็นเพลงช้าหรือเพลงเร็ว ฉันไม่มีวิทยุเทปคลาสเส็ต วิทยุเอฟเอ็มของตัวเองก็ไม่มี ต้องขอโทษด้วยหากไม่รู้จักมันเลย และแน่ใจว่าไม่เคยฟังมาก่อน

 

แต่ฉันจำชื่อ “เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์” ได้ มีหนังสือของเขาที่เธอส่งมา ฉันอ่านมันแล้ว เขาช่างเขียนคำกวีได้เพราะและมีความหมาย ฉันชอบอยู่หลายบท อ่านในประวัติก็รู้สึกประทับใจ เขาก็เป็นนักต่อสู้เพื่อสังคมตามอุดมการณ์คนหนึ่งใช่มั้ย

เพียงบัว, ถ้าเราแก่ไป ถ้าเราอายุมากกว่านี้ เราจะยังรักษาศรัทธาและเจตนาที่มีอุดมการณ์อย่างท่านเหล่านี้ได้ตลอดหรือเปล่า ท่านจิตร ภูมิศักดิ์, ท่านเนาวรัตน์ (ฉันไม่ชอบคำว่าท่านหรอก แต่ก็อยากจะยกย่องกับคนที่สมควรยกย่อง) พวกท่านดูมีความคิดความอ่าน กล้าหาญ เป็นผู้ให้ค่ากับเรื่องเสรีภาพ พวกท่านคงจะแก่ไปอย่างมีคุณค่าตราบนาน ไม่เหมือนเพื่อนร่วมงานของฉันที่มีแต่ลมปากกับความปลิ้นปล้อนตลบตะแลง

นี่อาจจะเป็นความแตกต่างหรือเปล่านะ ระหว่างคนที่รู้จักความสวยงามของบทกวีเพื่อเสรีภาพ กับคนที่เพียงกินแล้วก็ขี้ และบางครั้งก็ถ่มน้ำลายรดฟ้า ปล่อยเสลดตกลงมาใส่หน้าตัวเอง

คิดถึงเธอมากนะ ที่รักของฉัน, เราจะต้องไม่เป็นแบบนั้นหรอกนะ เรามาตั้งใจกันเถอะ

จากคนเดินทาง