ชูวิทย์ กลับมาแล้ว จ่อจัดรายการวิจารณ์เรื่องร้อน มองทิศทางการเมืองไทยไม่ไปไหน?

“อนาคตบ้านเมืองสำหรับผม ณ ขณะนี้ยังมองเห็นภาพไม่ค่อยชัด แต่เชื่อว่าจะยังคงเป็นวัฏจักรอยู่เรื่อยๆ แบบนี้ หากยังไม่มีการปฏิรูปประชาชน” ความคิดเห็นส่วนหนึ่งในมุมมองการเมืองไทย จาก นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตเจ้าของสถานบริการอาบอบนวดชื่อดัง, อดีตนักการเมือง-อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ที่ประกาศตัวแล้วว่า

“จะไม่ลงเล่นในสนามการเมืองหรือเข้าไปมีตำแหน่งใดๆ ในทางการเมืองอีกแล้ว พอแล้ว”

หลังจากนายชูวิทย์ได้รับพระราชทานอภัยโทษ และปล่อยตัวจากเรือนจำหลังถูกตัดสินจำคุกในคดีรื้อบาร์เบียร์ย่านสุขุมวิท

การกลับมาของนายชูวิทย์ครั้งนี้ เจ้าตัวเล่าว่าตั้งใจว่าจะมีบทบาทใหม่คือเป็น “คนจัดรายการ” โดยจะใช้ช่องทางไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊กและช่องยูทูบของตัวเอง ในการพูดทุกเรื่องที่คิดว่ามีประโยชน์และในฐานะเป็นประชาชนคนหนึ่งที่มีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์การเมือง-สถานการณ์ร้อนๆ ได้

เช่น เรื่องตำรวจทำไมไม่ไปจับพระธัมมชโย? ทั้งที่ออกมาให้สัมภาษณ์กันรายวัน วันละสามเวลาว่ามีแผนพร้อมจับ รู้แล้วว่าอยู่จุดไหน และได้ขอออกหมายจับเพิ่มเติมมากมาย แต่ทำไมไม่จับสักที?

หรือไม่ก็จะทำรายการร้องทุกข์ เช่น ในอดีตเคยพูดเรื่องค้างอยู่คือ การบุกรุกที่ที่เขาใหญ่-ภูทับเบิก ทันทีที่พูดไปมีหน่วยงานออกมาแอ๊กชั่นมากมาย แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องเหล่านั้นดันไปปิดแค่เพียงรีสอร์ตเล็กๆ ของชาวบ้าน แต่อันใหญ่ๆ ที่บุกรุก อันที่มีสนามกอล์ฟ อันที่สร้างไว้ใหญ่โตมโหฬาร กลับไม่มีใครกล้าเข้าไปรื้อ

“ซึ่งผมสามารถพูดถึงสิ่งเหล่านี้ได้ และอยากให้สาธารณชนคอยติดตามให้ดี”

“ในอดีตมีคนเคยบอกไว้ว่าชีวิตคือความจริง ความจริงคือประสบการณ์ ประสบการณ์คือความรู้ ผมเลยอยากจะใช้ประสบการณ์ ในการที่ได้เข้าไปอยู่ในเรือนจำ ที่ทั้งแออัด มีโรคภัยไข้เจ็บมากมาย ซึ่งระหว่าง 10 เดือนกว่าที่อยู่ในนั้น ทำให้ได้คิดได้สำนึกว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไร และตั้งใจไว้ว่าเมื่อออกมาจะพูดสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน โดยจะใช้อดีตของตัวเองที่มีทั้งขาว ทั้งเทาและดำมาถ่ายทอด”

“ใครจะไปคิดว่าชีวิตผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเคยทำงานอาบอบนวดให้ผู้ชายมาเที่ยวมีความสุขสบายใจ แต่มาวันหนึ่ง คนนั้นต้องเข้าคุกมาเก็บศพผู้ชายเป็นเอดส์ คิดดูว่าชีวิตทั้งสูงสุดและต่ำสุด อยู่ 10 เดือนเก็บรวมไป 80 กว่าศพ โดยส่วนหนึ่งได้เตรียมพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งที่เขียนถึงความพลิกผันของชีวิตตอนอยู่ในเรือนจำเอาไว้ด้วย” นายชูวิทย์ กล่าว

Thai massage parlour impresario turned politician Chuwit Kamolvisit (C) gestures as he waits for a hearing outside a criminal court in Bangkok on October 15, 2015. Chuwit appeared in court on October 15 over accusations he and his associates demolished a group of bars in the heart of Bangkokís nightlife in 2003. If found guilty Chuwit could face up to five years in jail. AFP PHOTO / Christophe ARCHAMBAULT / AFP PHOTO / CHRISTOPHE ARCHAMBAULT
AFP PHOTO / CHRISTOPHE ARCHAMBAULT

ส่วนที่หลายคนสงสัย คือประเด็นการประกาศตัวว่าไม่เกี่ยวข้อง เลิกยุ่งวงการการเมืองแล้วนั้น ยืนยันว่า จะไม่ไปมีตำแหน่งทางการเมืองอีกแล้ว จะไม่มีการลงสมัครหรือรับตำแหน่งใดๆ อีก และจะไม่เป็นแบ๊กอัพให้ใคร ไม่เป็นหัวหน้าพรรค ไม่เอาอะไรแล้ว ลาออกมาหมดแล้ว

บางคนอาจแย้งว่า ก็เพราะว่าชูวิทย์ติดคุกแล้วกลับมาไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ เลยพูดเช่นนี้?

นายชูวิทย์เชื่อว่าอีกไม่นานคงมีการล้างมลทิน แต่ยังไงก็ไม่กลับมาลงเล่นในสนามนี้อีก เหตุผลไม่ใช่เพราะครอบครัวขอร้อง แต่ตัวเองต้องการทำอะไรอีกเยอะ ต้องการมองไปข้างหน้า เพื่อเพิ่มความหลากหลายในชีวิต ไปทำในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ

“ประชาชนต้องเข้าใจว่างานการเมืองไม่ใช่อาชีพ แต่เป็นงานอาสาสมัคร ชีวิตหนึ่งเคยได้ทำก็พอแล้ว ไม่ใช่จะอยู่จะทำกันจนถึงช่วงอายุ 60 70 80 ปี เคยสงสัยมากว่าทำไมหลายคนต้องการเป็น ส.ส. หลายสิบสมัย เล่นการเมืองกันตลอดชีวิต ทำไมไม่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่หน้าใหม่เข้ามาบ้าง ในใจยังคิดว่ายุคนี้เขากวาดล้างนักการเมืองกันอยู่ อยากใช้โอกาสตรงนี้มีพื้นที่ให้คนใหม่ๆ เข้ามาสักที”

“อยากให้เขียนกฎไปเลยว่าห้ามเล่นการเมืองเกิน 3 สมัย เพื่อให้เกิดการพูดแบบใหม่ๆ คิดแบบใหม่ และทำแบบใหม่ๆ บ้าง เพราะถ้ามีแต่คนเดิมๆ อย่างในอดีต ในสภาก็จะมีแต่หน้าเดิมๆ สองฝ่าย ที่ไม่ได้คุยเรื่องกฎหมายอะไรเลย ใช้สภาในการทะเลาะกันหน้าเดิมๆ คนนั้นว่าคนนี้ตอบโต้ไปมา หมดเวลาประธานสภากดกริ่งเลิกประชุมกลับบ้าน!”

AFP PHOTO / CHRISTOPHE ARCHAMBAULT
AFP PHOTO / CHRISTOPHE ARCHAMBAULT

พร้อมกันนี้ นายชูวิทย์มองสถานการณ์การเมืองไทยในปี 2560 ว่า รัฐบาลทหารที่ยังอยู่ มีข้อดีคือ เงียบสงบไม่มีการประท้วงใดๆ ก็จริง แต่ต้องบอกว่าเงียบสงบจริงๆ เพราะเศรษฐกิจก็เงียบไปด้วย ซึ่งสามารถมองได้สองด้าน ว่า การที่เศรษฐกิจเป็นแบบนี้เพราะเป็นไปตามสภาพความเป็นจริง ในอดีตรัฐบาลพรรคการเมือง ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อซื้อใจให้ได้คะแนนเสียงเยอะที่สุดเพื่อกลับมาใหม่ ได้คะแนนนิยมมากๆแต่รัฐบาลทหาร ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น

“ตอนนี้มีภาพสองภาพซ้อนกันอยู่ ประชาชนต้องมองให้ลึก ว่ารัฐบาลทหารทำความสงบไม่หวังกลับ และอาจวางยุทธศาสตร์ 20 ปี แต่ในความเป็นจริงบ้านเราไม่เคยห่างหายจากทหารเลย อีกภาพหนึ่งในยุคนี้คือยุคตกต่ำของนักการเมือง ที่ถูกมองว่าเลว โกง หรือเผด็จการรัฐสภา ต้องย้อนถามกลับว่า เพราะอะไรที่นักการเมืองตกต่ำ ทำกันเองใช่หรือไม่? ที่ออกไปประท้วงข้างถนน ไม่ใช้เวทีในสภา แต่กลับมาทุ่มเก้าอี้ใส่กัน ด่ากัน พอจะเลือกตั้งใหม่ก็ไม่เอา ทะเลาะกันข้างถนนไม่เลิก ถามว่าถ้าวันนั้นคุณไม่ทำแบบนี้ทหารจะออกมาหรือไม่? ผลเสียเลยมาตกกับนักการเมืองทุกคน ทำให้ภาพที่เราเห็นตอนนี้นักการเมืองที่รู้ทางจะเงียบกริบเก็บตัว มีแต่พวกไอ้ห้อยไอ้โหนออกมาวิจารณ์ทุกวัน อยากเด่นอยากดัง ในหนังสือพิมพ์มีไม่กี่คนซ้ำๆ”

ในอดีตเมื่อปี 2540 เรามีรัฐธรรมนูญที่ทำให้มีรัฐบาลเข้มแข็ง เป็นรัฐบาลใหญ่

ต่อมาปี 2550 เป็นสูตรรัฐบาลผสม ทอนนักการเมืองจัดตั้งยากอยู่ยาก

สิ่งที่สงสัยและอยากถาม คือ ในประเทศเราไม่มีคนออกแบบรัฐธรรมนูญคนอื่นแล้วหรือ? มีแต่ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ มีส่วนเกี่ยวข้องมาแล้วไม่รู้กี่ฉบับ อยากจะให้เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ๆ เข้ามาบ้าง เพราะอนาคตบ้านเมืองไม่ใช่ของใครคนเดียว ทำไมไม่ดันให้ไปเป็นที่ปรึกษา อยากเห็นการเปิดโอกาสให้คนอื่นบ้าง

เช่นเดียวกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ทำไมมีแค่ คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เพียงคนเดียว จะมีคนชื่อสมศักดิ์ สมชาย สมหญิง สมอื่นๆ ไม่ได้หรือ เข้าใจว่าคุณสมคิดก็มีความคิดแบบหนึ่งซึ่งมีประสบการณ์ผ่านร้อนหนาวมาเยอะ แต่เวลานี้บ้านเมืองยุคใหม่มองไปข้างหน้า ต้องวางแผนโดยคนรุ่นใหม่บ้าง

“ผมเชื่อว่าประชาชนต้องการบ้านเมืองแบบนี้ ถ้าเรายังมีนักการเมืองรุ่นเก่า สุดท้ายก็เหมือนเดิม ล้มเหมือนเดิม วันนี้ถ้าถามผม ก็คิดว่าอนาคตประเทศยังมองไม่ค่อยชัด”

แต่เชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะอยู่ในวงโคจรเดิม ทหารจะยังคงอยู่คู่การเมืองไปเรื่อยๆ หรือกลับมาคุมอีก

ตราบใดที่สังคมพูดถึงการปฏิรูปทุกสิ่งอย่าง แต่มองข้าม “การปฏิรูปประชาชน” ซึ่งการปฏิรูปประชาชนในที่นี้คือการสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนรู้เท่าทันนักการเมือง ไม่ให้หลอก ให้สัญญาลวงๆ กับประชาชน บางคนหลอกให้มาร่วมปิดถนน ไม่ว่าเสื้อสีไหนๆ ไม่เช่นนั้นหากประชาชนไม่รู้ทัน ต่อให้เราดีไซน์รัฐธรรมนูญให้ดียังไงก็ได้กลุ่มคนเดิมๆ กลับมา การเมืองก็ยังเหมือนเดิม

ฉะนั้น ต้องสร้างประชาชนให้แข็งแกร่ง ถึงวันนั้นเราจะเปลี่ยนแปลง