ทวีปที่สาบสูญ : เหมือนเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ฝนยังคงโปรยสายอยู่ไม่ขาด แม้เมื่อรถไต่ขึ้นไปจนสุดเนิน ถึงลานกว้าง แล้วจอดเทียบข้างแปลงดอกไม้

อีพี่สร้อยสายผลักประตูออกมา ร้องสั่งให้รีบขนของลง ชายร่างสูงถอดแว่นตาออกเช็ด จากนั้นคนทั้งสองก็หายไปในบ้านหลังใดหลังหนึ่งที่มองเห็นอยู่ลิบๆ เบื้องหน้า

ทิ้งไว้เพียงฉันกับอัมพร และข้าวของที่สุมหลังรถกระบะ

“ไปกันเถอะ” อัมพรพูด

“ไปไหน” ฉันถาม “ต้องเอาของลงที่ไหน”

“ให้ฝนหยุดก่อน ช่างหัวมัน” อัมพรตอบเช่นนั้น

 

ฉันไม่อาจเข้าใจในทุกสิ่งอัน กระทั่งเมื่ออัมพรลากแขนพาจูงลงไปยังบันไดดินบากเป็นขั้นๆ ต่ำลงไปทุกที พร้อมกับละอองไอฝนที่ยังหล่นลง

เดี๋ยวเบา เดี๋ยวแรง

เหมือนเทวดาแกล้ง

พอเข้าถึงห้องแคบๆ ที่ดูอับชื้น ก็ยินเสียงกรูกราวอีกห่าใหญ่

“สงสัยจะหนักอีกนาน” อัมพรลูบหน้าตัวเอง

ฉันยืนอยู่กลางห้อง มองดูรอบตัว แสงสว่างยังพอมีในยามที่เราเปิดประตู แต่พออัมพรเอื้อมไปดึงบานหับ ก็เหลือเพียงความสลัวราง

พอดูออกว่ามีเตียงเล็กๆ หนึ่งหลัง โต๊ะกับเก้าอี้หนึ่งชุด กรอบรูปแขวนติดฝาสองสามใบ แต่ยังดูไม่ชัดว่าเป็นรูปอะไรบ้าง

เสียงเตียงลั่นเบาๆ คราวอัมพรหย่อนก้นลง แล้วนางคนวอกก็ยื่นมือออกมา ราวกับว่ารอให้ฉันโถมตัวเข้าไป

 

ฉันได้ยินเสียงตัวเองกระซิบในหัวว่า “ไม่”

แต่สิ่งที่เกิด กลับเป็นรอยยิ้มในสายตาของน้องสาวอีพี่สร้อยสาย ผู้เป็นกึ่งนายจ้าง กึ่งเพื่อนร่วมงาน และพร่าเลือนระหว่างคนรู้จักเก่ากับคนที่มาพบกันใหม่ อีกไม่ควรไว้วางใจ ชนิดที่หากจะมีขนดหางเลื้อยออกมาคงไม่แปลกอันใด

แต่ฉันก็ย่างเข้าไปหาอ้อมตักนั้น พลางตัวสั่นกับฝ่ามือที่ลูบหลัง

“…เธอจะทำไม”

อัมพรมีตาสีอะไรกันนะ ฉันพยายามจะมองให้ชัดขึ้น

แต่ก็ไม่เห็นเลย

“หยุดปากหน่อยดีมั้ย” คำพูดยังฟังหยาบหูเหมือนเคย

“กูอยากเอามึง เข้าใจหรือยัง”
มีถ้อยคำปฏิเสธอีกมากมายแล่นพล่านอยู่ในห้วงสำนึก แต่ทั้งหมดนั้น แค่เหมือนแรงดันอยู่ในเส้นเลือดไหลเวียน สิ่งที่หลุดพ้นออกมาแค่เสียงแผ่วเบา

“…อย่าทำ”

“ทำไมล่ะ?” อัมพรกลับถาม

อะไรกันที่กำลังกระเพื่อมสั่นไหว กระฉอกอยู่ในตัวฉัน

“มึงอยาก กูรู้”

“…ฉันไม่…”

อัมพรไปเรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาจากไหน ผู้ชาย ผู้หญิง คุณนายคนนั้น หรือพวกทหารที่เคยข้ามรั้วมา หรือมันเป็นเพียงธรรมชาติของคนสัปปะลี้ชาติหมา

รู้สึกเหมือนตัวเองจะแตกดับไปกับสิ่งที่ถูกขุดค้นขึ้น ฝนคงจะกระหน่ำหนักอย่างยาวนาน…ใช่มั้ย ในห้องใต้หลังคาสังกะสี…คงจะไม่มีใครได้ยินเสียงของเรา

…เสียงของตัวฉัน

 

มันเป็นความรู้สึกชนิดไหนกัน ทั้งหวานแหลมและเสียดแทงเสียจนเรียกได้ว่าทุกข์ทรมาน อัมพรรุนแรงเหมือนอย่างพายุคลั่ง แล้วก็กลับดิ่งลงอย่างอ่อนหวาน จนเหมือนถูกฉุดกระชากไปกับเส้นทางที่ไม่รู้จัก ครั้งแล้วครั้งเล่า ใต้เงื้อมเงาของสายฝน

มีลมพัดแรงมากขึ้นด้วยเป็นบางครั้ง ฝนซัดขอบหน้าต่างดังกราวๆ น้ำจะไหลนองเข้ามาถึงพื้นหรือไม่ ฉันยังอดสงสัยไม่ได้ ขณะตัวโยกโยนไปกับกลวิธีของนางปีศาจ

อัมพรช่างมีอำนาจในตัวเองอย่างเหลือล้น ยามจ้องหน้าฉันเมื่ออยู่บน หรือตอนรั้งเอาตัวฉันเข้าไปในอ้อมแขน อีกสิ้นไร้ยางอาย อะไรที่ไม่เคยคิดว่าจะพบก็ได้พบ

“…กูชอบมึงเหลือเกิน อีพี่”

อัมพรครางออกมา ปากงับและดูดดึงในทุกที่ทุกแห่ง

“มึงมันยั่วเก่งนัก”

“…ฉันไม่ได้ทำอะไร”

“มึงทำ”

อัมพรควานปากเข้ามาอีก ฝ่ามือตะโบมสอดไซร้ สะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงการขบฟันอย่างจงใจ

ต่างหูแวววาวของแพรวพลอยผ่านเข้าสำนึกมา กับดวงตาสกาวสุกใส แต่เหตุใด ในสัมผัสอันหยาบกร้านและเกลือกเกลื้อแต่ความมืดมน กลับทำให้ฉันแทบสำลัก

และท่วมท้น

“…แพรวพลอย”

ฉันพยายามจะเรียกเอาสติตัวเองกลับมา ทว่า นั่นกลับทำให้อัมพรชะงัก

และยิ้มหยัน

และพูดลอดไรฟัน

“…กูจะเอามึง จนมึงลืมหมดไม่ว่าหน้าไหน”

 

ฉันไม่เคยพบสิ่งนั้นมาก่อนในชีวิต พูดได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ผิดแผกจากทุกๆ ครั้ง ไม่ว่ากับใคร อัมพรฝึกฝนมันมาจากไหน ทุกวิธีที่หล่อนกระทำมัน

ฉันพ่ายแพ้แก่อัมพรอย่างสิ้นสภาพ เหมือนทั้งห้องแปรเป็นแอ่งน้ำขังขนาดใหญ่ ฉันเป็นปลาที่พยายามว่ายหนีไปสู่ที่ไหนสักแห่ง แต่สิ้นไร้เรี่ยวแรง ได้เพียงกระเสือกกระสน ร่ำร้องทุรายทุรน ซึ่งจนแล้วจนรอด อัมพรก็ไม่ยอมปล่อยให้พ้นไป

ฉันเหนื่อยอย่างที่สุด หายใจแทบไม่ทัน คิดว่าสรวงสวรรค์อยู่เพียงเอื้อม แต่พอใกล้เข้าถึงก็ถูกดึงให้ห่างออกมา กระทั่งเดือดดาลและเริ่มล้า ก็ถูกปลุกขึ้นใหม่ พาเข้าไปจนชิดประตูเหวนั้นอีก

กระทั่ง…ยินเสียงตัวเองหวีดร้องลั่น ยามที่อัมพรแทรกเข้ามาหมดเนื้อหมดตัว จนเหมือนหมดใจ ฉันลืมตาเบิกกว้าง มองอัมพรอย่างไม่เข้าใจ

“จำกูไว้นะ อีพี่”

ทุกส่วนของร่างกายสั่นสะเทือน สองขาฉันบิดเป็นเกลียว กล้ามเนื้อเต้นระริกจนต้องโผนตัวแอ่นขึ้นรัดร่างคนสารเลวไว้

อัมพรตอบรับอย่างไม่รีรอ

 

ฝนเบาลงแล้ว และอ้อยอิ่งแผ่วโปรยอยู่รายรอบด้าน ฉันซุกหัวเข้ากับอกอัมพร ตัวอ่อนระทวยจนแทบหลับใหล เปลือกตาหนักอึ้ง จวนจะหลับลงให้ได้

มือลูบเบาบนหลังและไหล่

“ง่วงหรือ”

“อือ” พยักหน้า

เสื้อผ้าของฉันยังอยู่บนเรือนกาย ที่เปลือยเปล่าคือคนที่ไม่รู้จักอายนั่นเอง

“งั้นเดี๋ยวไปขนของก่อน”

ฉันผวาจะลุก แต่อัมพรกลับกดไว้

“นอนเถอะ เดี๋ยวไปจัดการเอง”

“…พี่สร้อย”

“ไม่ต้องห่วงหรอก มันกลับไปแล้ว”

ฉันได้ยินคำนั้นเหมือนเพียงแว่วๆ…กลับไปแล้ว อีพี่สร้อยสายกลับไปแล้ว มันเป็นไปได้อย่างไร

เรายังไม่ได้เอาของลงจากรถเลย

ยังไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไรอีก

“ง่วงก็หลับเสีย เพลียมากนี่”

ฉันอยากจะลุกตามอัมพร แต่กลับเปลี้ยอ่อนเสียจนเหมือนหัวใจจะดิ่งลงลิ่วๆ สุดท้ายก็ได้ยินเสียงประตูเปิดแล้วปิด

เสียงฝีเท้าเดินออกไป

มีดอกไม้ตกลงมาจากฟากฟ้า

โปรยปรายลงมา

บนหลังไหล่ของฉัน

เธอยืนหัวเราะอยู่ตรงนั้น

เหมือนเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย