ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 30 ธันวาคม 2559 - 5 มกราคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ภาพยนตร์ |
ผู้เขียน | นพมาส แววหงส์ |
เผยแพร่ |
ฉากเปิดเรื่อง เฮาเวิร์ด (วิลล์ สมิธ) ได้รับเชิญให้กล่าวคำปราศรัยให้กำลังใจแก่พนักงานในบริษัทโฆษณาที่ประสบความสำเร็จของเขา
เขาบอกว่า คนเราต้องถามตัวเองว่า อะไรเป็นแรงผลักดันเราให้ทำอะไรๆ อะไรคือตัวการเบื้องหลังคำว่า “ทำไม” ของเรา
มีนามธรรมสามอย่างที่เป็นตัว “ทำไม” ของเรา
นั่นคือ ความรัก กาลเวลา และความตาย
เราต้องการความรัก…เราไม่มีเวลาเพียงพอ…เรากลัวความตาย
สุนทรพจน์ที่เฮาเวิร์ดกล่าวนี้สวยงามและชนะใจคนฟัง
และแล้ว กาลเวลาก็ผันผ่าน ตัวหนังสือขึ้นจอว่า “สองปีต่อมา”
เราพบเฮาเวิร์ดที่โดนกระหน่ำย่อยยับตั้งตัวไม่ติดด้วยนามธรรมทั้งสามข้างต้น
เขาสูญเสียลูกสาววัยหกขวบให้แก่มะเร็งในรูปแบบที่หายาก แยกทางจากภรรยาที่รัก และมีชีวิตอยู่ในความมืดมน โกรธแค้นตั้งคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ต่อ “ความรัก กาลเวลาและความตาย” จนหมดกะจิตกะใจจะมีชีวิตที่ยังมีลมหายใจ ถอนตัวจากโลกรอบด้าน ไม่สุงสิงกับใคร ไม่ทำอะไรอื่นนอกจากถีบจักรยานไปนั่งแช่ดูสุนัขวิ่งเล่นอยู่ในสวนสาธารณะและไปด้อมๆ อยู่กับกลุ่มบำบัดทางจิตสำหรับความทุกข์ของคนที่เสียลูกไป แต่ไม่ยอมเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มจริงๆ จังๆ
เมื่อเขาเข้าที่ทำงาน ก็ไม่ทำอะไรนอกจากใช้เวลาหลายวันต่อโดมิโนขนาดใหญ่และสลับซับซ้อน เพียงเพื่อจะสะกิดล้มเพียงตัวเดียว โดยส่งผลกระทบต่อๆ ไปให้ผลงานสวยงามมหึมาล่มสลายลงในชั่วไม่กี่อึดใจ
ผลกระทบต่อเนื่องของโดมิโนนี้เป็นการสื่อสารด้วยสัญลักษณ์สำคัญในหนัง
ปัญหาของเพื่อนร่วมงานและบริษัทที่ต้องเผชิญอยู่คือการตัดสินใจทางการเงินครั้งสำคัญ ซึ่งบริษัททำอะไรไม่ได้โดยปราศจากลายเซ็นของเฮาเวิร์ดผู้ถือหุ้นมากที่สุดในบริษัท และเฮาเวิร์ดไม่ยอมรับรู้และทำอะไรกับเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว
เพื่อนร่วมงานสามคน คือ วิต (เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน) แคลร์ (เคต วินสเล็ต) และไซมอน (ไมเคิล พีญญา)–ซึ่งต่างมีปัญหาในชีวิตส่วนตัวไปคนละอย่างสองอย่าง ต่างกรรมต่างวาระแล้วแต่กรณีของแต่ละบุคคล–จึงต้องลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อความอยู่รอดของบริษัท พนักงานและตนเอง
นั่นคือพยายามทำให้เฮาเวิร์ดกลับมาดำเนินชีวิตตามปรกติต่อไป หรือไม่ก็ทำให้ศาลสั่งว่าไร้สมรรถภาพทางจิต กิจการของบริษัทจะได้เดินหน้าต่อไปได้
ในการนี้ ต้องมีการว่าจ้างนักสืบติดตามดูพฤติกรรมของเฮาเวิร์ด และว่าจ้างนักแสดงเล่นบทบาทตามที่กำหนด
นักสืบตามสังเกตพฤติกรรมของเฮาเวิร์ดจนค้นพบว่าเฮาเวิร์ดเขียนจดหมายสามฉบับไปหยอดตู้ไปรษณีย์ แต่เมื่อเอาจดหมายขึ้นมาดู ก็เห็นว่าจดหมายจ่าหน้าซองถึง “ความรัก” “กาลเวลา” และ “ความตาย”
แบบที่เด็กฝรั่งเขียนจดหมายถึงซานตาคลอสในช่วงคริสต์มาสนั่นแหละ เพียงแต่นี่เป็นเด็กโค่งที่ยังคิดอะไรเพ้อเจ้อไม่มีสติ
นั่นคือเมื่อนักแสดงว่างงานสามคนก้าวเข้ามาในชีวิตของเฮาเวิร์ด โดยการว่าจ้างของเพื่อนร่วมงานที่ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้วิกฤตการณ์ทางการเงินของบริษัท และอาจจะเพื่อช่วยบำบัดจิตให้เพื่อนรักก็ได้กระมัง
คำตอบต่อจดหมายของเฮาเวิร์ดมาในรูปของบุคลาธิษฐานสามคน
บริจิตต์ (เฮเลน มิร์เรน) เป็น “ความตาย”
เอมี่ (เคียรา ไนต์ลีย์) เป็น “ความรัก”
และแรฟฟี่ (เจค็อบ แลติมอร์) เป็น “กาลเวลา”
เล่าได้เพียงแค่นี้ละค่ะ ใครอยากรู้เรื่องที่เหลือก็คงต้องไปหาคำตอบเอาเอง
ถ้าถามว่าหนังน่าสนใจไหม ก็ต้องตอบว่าน่าสนใจมาก ตลกปนดราม่าเข้มข้น ดารดาษด้วยนักแสดงชั้นเยี่ยมระดับเกรดเอ โดยเฉพาะ เฮเลน มิร์เรน ซึ่งน่าจับตาเป็นพิเศษ
หนังพยายามเล่าแบบ “กั๊ก” คือค่อยๆ เผยไต๋ทีละเล็กทีละน้อย แล้วมาเฉลยในตอนท้าย เพื่อจะบอกว่า แม้แต่ความสูญเสียก็ยังให้ความหมายแก่ชีวิต ซึ่งเรียกว่าเป็น “ความงามข้างเคียง” ดังชื่อเรื่องว่า Collateral Beauty
เพื่อนรักทุกคนที่เกี่ยวข้องอยู่ในชีวิตของเฮาเวิร์ดก็กำลังใช้ชีวิตที่ต้องเผชิญกับการสูญเสียอย่างใดอย่างหนึ่ง
วิต เพิ่งหย่าจากภรรยา และกำลังจะเสียสายสัมพันธ์อันดีกับลูกสาวคนเดียว
แคลร์สูญเสียโอกาสที่จะมีลูก เพื่อโอกาสในความก้าวหน้าของอาชีพการงาน
ไซมอน กำลังเผชิญหน้าอยู่กับความตายและการจากพราก
ชีวิตก็เป็นเช่นนี้เอง มีความสำเร็จ ความสุข ควบคู่ไปกับความทุกข์ ความสูญเสียและการพลัดพราก
แต่ก็ยังมี “ความงามข้างเคียง” อื่นๆ ให้รับรู้ และดำเนินชีวิตต่อไปอย่างมีความหมาย
สารของหนังก็น่าจะดีและอบอุ่นใจอยู่หรอกค่ะ เสียแต่เมื่อถึงที่สุดของเรื่องแล้ว มันดูแปร่งๆ ไม่ลงตัวอย่างไรพิกล
มนุษย์ตั้งคำถามให้จักรวาลตอบ แล้วจักรวาลก็เผอิญแคร์พอจะมาตอบคำถามให้เป็นการส่วนตัว!!
COLLATERAL BEAUTY
กำกับการแสดง
David Frankel
นำแสดง
Will Smith
Edward Norton
Kate Winslet
Michael Pena
Naomi Harris
Helen Mirren
Kiera Knightley
Jacob Latimore