ข่าวเด่น : เตรียมยกเลิกใช้รถตู้โดยสารสาธารณะปี 62 – งดออกใบอนุญาตเพิ่ม

“วิษณุ” มอบหมาย สตช.-ปภ-กรมขนส่ง พิจารณาปัญหาจราจรเร่งด่วนก่อนออก ม. 44 แก้ปัญหารถโดยสาร เตรียมยกเลิกใช้รถตู้โดยสารสาธารณะปี 62 – งดออกใบอนุญาตเพิ่ม

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเสนอใช้มาตรา 44 แก้ปัญหารถตู้โดยสารสาธารณะ ว่า ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเรื่องการคุ้มเข้มรถตู้สาธารณะ ไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะกรณีรถตู้ชนกับรถกระบะเท่านั้น แต่ที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ สตช. ได้เสนอ ร่าง พ.ร.บ.การจราจรทางบก ไว้ก่อนแล้ว และได้จัดตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งที่มีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ดูแลความปลอดภัยจราจรทางบก ซึ่งได้เสนอมาตรการในที่ประชุม ครม. ไปแล้ว แต่ในการออกกฎหมายต้องใช้เวลาหลายเดือนทำให้ล่าช้า ซึ่งระหว่างนี้อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้อีกโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลหยุดยาว ดังนั้นจึงนำบางเรื่องของ ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว ออกมาเป็นคำสั่งตามมาตรา 44 บังคับใช้ไปก่อน และเมื่อ พ.ร.บ.ประกาศใช้อำนาจตามมาตรา 44 จะหมดไป

นายวิษณุ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 5 ม.ค. ที่ผ่านมา ได้หารือร่วมกับ กรมขนส่งทางบก สตช. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และได้ยกกรณีเหตุรถตู้ชนกระบะที่แสดงให้เหตุถึงความบกพร่องทั้งในเรื่อง สภาพรถ ความเร็ว คุณภาพผู้ขับขี่ วินัยจราจร และบทลงโทษ จึงได้สั่งการให้แต่ละหน่วยงานไปพิจารณาว่ามีเรื่องใดเร่งด่วนให้เสนอ ครม มาภายใน 7 วัน ก่อนจะออกมาตรา 44

ทั้งนี้นายวิษณุ กล่าวว่า รถตู้ที่มีลักษณะเดียวกับคันที่เกิดเหตุมีใช้จำนวนมากในไทย และมีสภาพไม่เหมาะสมนำมาเป็นรถขนส่งสาธารณะ เพราะมีประตูขึ้นลงประตูเดียว หน้าต่างเปิดไม่ได้ บรรทุกถังแก๊สถึง 3 ถัง และประตูหลังเปิดไม่ได้เนื่องจากสลักอยู่ที่พื้นดึงไม่ได้เนื่องจากติดเก้าอี้ อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหารถตู้มีมาตรการอยู่แล้ว ให้รถตู้หมดไปภายในปี 2562 แต่ เมื่อเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เสนอ ให้งดการออกใบอนุญาตรถตู้เป็นรถขนส่งสาธารณะตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพื่อไม่เพิ่มจำนวนรถตู้ในท้องถนน

นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า จะใช้มาตรา 44 ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถตรวจสมุดบันทึกประจำรถ นอกเหนือจากการตรวจของเจ้าหน้าที่ทางหลวงและเจ้าหน้าที่กรมขนส่ง ซึ่งหากรถตู้ไม่พกสมุดบันทึกติดรถ และไม่กรอกข้อมูลหรือกรอกเป็นเท็จก็ถือว่ามีความผิด ขณะเดียวกันจะล็อคความเร็วของการขับขี่ที่ปกติกำหนดไว้ที่ 90 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง แต่ให้เพิ่มความเร็วเพื่อแซงอยู่ที่ 100-110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งตัวเลขดังกล่าวยังไม่ตายตัวต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปหารือกับกรมขนส่งอีกครั้ง