ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 มิถุนายน 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | สิ่งแวดล้อม |
ผู้เขียน | ทวีศักดิ์ บุตรตัน |
เผยแพร่ |
ดูคลิปของคุณอิทธิพล เพชรพิบูลย์พงศ์ ขี่มอเตอร์ไซค์ช่วยเด็กกำลังชักเกร็งอยู่ในรถเก๋งที่ติดไฟแดง จ.พิษณุโลก ไปส่งโรงพยาบาลเยียวยาช่วยชีวิตได้ทันเวลา
แม้ระหว่างทางคุณอิทธิพลซิ่งจนน่าหวาดเสียว แต่เข้าใจได้ว่าต้องเร่งให้ถึงโรงพยาบาลเร็วๆ
ถ้าไม่มีคุณอิทธิพล ก็ไม่อยากคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็ก เพราะการจราจรในวันนั้นดูจากคลิปแล้วติดขัด
ยากที่คุณพ่อของเด็กจะฝ่าการจราจรอันยุ่งเหยิงไปถึงที่หมายในเวลาอันรวดเร็ว
ก็ขอชื่นชมในน้ำใจงามของเด็กหนุ่มคนนี้
คลิปของ “อิทธิพล” เผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์ทั้งของไทยและต่างประเทศ มีผู้คนเข้าไปดูนับเป็นล้านครั้ง
แสดงให้เห็นว่า สังคมร่วมรับรู้ถึงการทำความดีของคุณอิทธิพล
วันนี้เราต้องยอมรับว่าในสังคมเมืองที่แก่งแย่งดิ้นรนทำมาหากิน ปากกัดตีนถีบ
การได้ยินคนทำดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ยากกว่าการได้ยินได้ฟังเรื่องร้ายๆ
เมื่อได้ยินคนทำดี จึงเปรียบเหมือนได้ยินเสียงจากสวรรค์
อีกสิ่งหนึ่งที่ได้เห็นในคลิปของคุณอิทธิพล คือสภาพเมืองพิษณุโลก
จากเมืองที่ไม่ได้มีสภาพใหญ่โตมากนักเมื่อเปรียบเทียบกับเมืองอื่นๆ แต่กลับมีปัญหาการจราจรไม่ต่างจากเมืองใหญ่
สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาจราจรติดขัดแผ่ขยายจนกลายเป็นปัญหาหลักของประเทศไปแล้ว
สาเหตุน่าจะมาจากการวางนโยบายเรื่องการขนส่งมวลชนและระบบผังเมืองของไทยล้มเหลว
ระบบผังเมืองห่วยแตก ปล่อยให้เมืองเติบโตอย่างไร้ทิศทางมานาน
เมื่อประชากรมากขึ้น ชุมชนเมืองขยายตัว แน่นอนการขนส่งมวลชนขยายตัวตาม เพราะผู้คนต้องเดินทางสัญจร
แต่ทั้งสองระบบไม่ได้ปรับเปลี่ยนสอดประสานกับความเป็นจริง
เมืองจึงเติบโตอย่างไร้ระเบียบ เขตธุรกิจ บ้านที่อยู่อาศัย หน่วยราชการ ปะปนกันมั่วไปหมด
รถยนต์ส่วนตัวมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างไม่จำกัด ไม่มีระบบขนส่งมวลชนที่ดีพอมารองรับ
การควบคุมระบบการจราจรให้รถวิ่งได้คล่องไร้ประสิทธิภาพ
คนใช้รถไร้วินัย วิ่ง-จอดตามใจฉัน สุดท้ายลงเอยรถติดมหาวินาศ เกิดอุบัติเหตุเป็นรายชั่วโมง มีคนเจ็บ-ตายทุกวัน
ขอยกตัวอย่างความไร้ระบบในการวางผังเมืองจากประสบการณ์ที่เห็นมา
เมื่อราว 30 ปี ผมมาอยู่หมู่บ้านแห่งหนึ่งแถวๆ ถนนรามคำแหง แขวงและเขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร
ช่วงนั้นถนนยังใช้ชื่อสุขาภิบาล 3 เป็น 2 เลน แล่นสวนกัน
การเดินทางสะดวกมาก รถวิ่งคล่องปรื๋อ อาจจะเป็นเพราะรถยนต์ยังมีไม่มากนัก
จะติดบ้างก็ถนนลาดพร้าวเชื่อมกับแยกบางกะปิ
จากบ้านไปที่ทำงานมติชน นั่งรถเมล์ 3 สายราว 45 นาที
ต่อมาชุมชนในแถบสุขาภิบาล 3 เติบโตอย่างรวดเร็ว หมู่บ้านใหม่ผุดโผล่ตลอดเส้นทาง เขตปกครองก็เปลี่ยนจากเขตบึงกุ่มมาขึ้นกับเขตสะพานสูง
ถนนขยายเป็น 4 เลน สองข้างทางและเกาะกลางปลูกต้นไม้ร่มรื่น
แต่การเดินทางไปมาเริ่มมีปัญหา รถติดมากขึ้น ชุมชนขยายอย่างไร้ขีดจำกัด คนหันมาซื้อรถยนต์ส่วนตัวกันมาก
น่าจะเป็นเพราะทนไม่ไหวกับระบบขนส่งมวลชนที่ย่ำแย่ มีรถเมล์วิ่งผ่านไม่กี่สาย นานๆ ทีถึงจะมา
รถเมล์แต่ละคันคนแน่นเอี้ยดต้องโหน บางวันเจอคนขับซิ่ง ไม่จอดป้ายรับผู้โดยสาร
ผมเองก็กัดฟันผ่อนรถเก๋งส่วนตัว ผ่อนไปบ่นไปเพราะใช้ไม่คุ้มค่า แค่วิ่งจากบ้านไปถึงปากซอยหมู่บ้าน ก็ใช้เวลา 20 นาที ทั้งที่ระยะทางแค่ 2 กิโลเมตร
เท่ากับ 10 นาที วิ่งได้แค่ 1 กิโลเมตร
บางวันขับรถไปแถวๆ ซอยอารีย์ พหลโยธิน ใช้เวลาจากบ้านร่วม 2 ชั่วโมง
สบถกับตัวเองว่า “บ้าไปแล้ว”
ระยะทางไม่ถึง 20 กิโลเมตร ใช้เวลาวิ่ง 120 นาที
ค่าน้ำมันปาเข้าไปอาทิตย์ละเกือบ 2 พันบาท เฉลี่ยทั้งเดือน 8 พันบาท
สภาพการจราจรติดขัดมโหฬารเช่นนี้จึงไม่น่าแปลก รถยนต์ในกรุงเทพฯ เผาผลาญน้ำมันเชื้อเพลิงมากและมีมลพิษทางอากาศสูงเกินกว่ามาตรฐาน
ถามคนฝรั่งที่เป็นเพื่อนสนิทมานานว่า เมืองไทยเป็นยังไงมั่ง
น่าเที่ยวมากกว่าน่าอยู่
น่าเที่ยวเพราะอากาศดี ถึงจะร้อนในหน้าร้อน แต่ไม่ทำให้คนไทยล้มตาย เหมือนเมืองหนาวที่หนาวเหน็บทะลุกระดูก
เมืองไทยมีของกินตลอดทั้งวัน ต่างกับเมืองอื่นในยุโรป อเมริกา มีเวลากำกับให้หากินได้แค่ไม่กี่ชั่วโมง
มีตังค์แต่ไม่มีที่กิน ไม่มีที่จะซื้อของได้ตลอด 24 ชั่วโมง
แถมบางแห่ง วันอาทิตย์ปิดทั้งเมือง จะกินได้แค่ฟาสต์ฟู้ด เครื่องดื่มของมึนเมาไม่มีที่ให้ซื้อกิน
เพื่อนบอกว่า เมืองคริสต์ กติกาทางสังคมกลับแรงกว่าเมืองพุทธ
มันน่าแปลกดีแฮะ
พูดถึงความเป็นเมืองน่าอยู่ในความหมายที่ผู้คนมีการศึกษา มีงานทำรายได้เฉลี่ยสูงกว่าค่าครองชีพ มีระบบสาธารณสุข สิ่งแวดล้อมดี
การเมืองที่มีเสถียรภาพ ความปลอดภัยสูง ผู้คนเป็นมิตร มีกิจกรรมทางสังคมร่วมกัน
ผังเมืองจัดวางให้บ้านพัก ที่ทำงาน สวนสาธารณะ สนามกีฬาอยู่ในรัศมีที่สามารถเดินหรือขี่จักรยานไปถึง ในเวลาไม่เกิน 10 นาที
สถานที่ทำงาน สวนสาธารณะ หรือสนามกีฬา หรือที่ทำการของรัฐแต่ละแห่งได้รับการออกแบบให้พนักงานได้ทำงานอย่างสะดวกสบาย
ภายในที่ทำงานมีห้องสันทนาการ ห้องออกกำลัง มีห้องเลี้ยงเด็กเล็ก ห้องสมุดและปลูกสวนหย่อมต้นไม้ล้อมรอบ
ระบบการขนส่งสาธารณะ สามารถเข้าถึงแหล่งที่พักอาศัย ที่ทำงานหรือสถานที่ของรัฐ โดยไม่จำเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนตัว
ล่าสุดมีการสำรวจเมืองน่าอยู่ ตามคำนิยามดังกล่าว 231 เมืองทั่วโลก
ปรากฏว่า กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย กลายเป็นเมืองน่าอยู่ที่ติดอันดับหนึ่งของโลกอีกครั้ง
ที่เป็นเช่นนี้เพราะกรุงเวียนนามีระบบการขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ
ภายในเมืองมีโรงละคร พิพิธภัณฑ์ หอศิลปะ ให้ผู้คนได้ชื่นชมตลอดเวลา
ใจกลางเมืองมีพื้นที่สาธารณะกว้างขวาง เปิดให้เป็นถนนคนเดิน ซื้อข้าวของได้อย่างปลอดโปร่ง ไม่มีรถยนต์วิ่งตัดหน้าแซงหลังให้กวนใจ
ร้านรวงตกแต่งประดับประดาสีสันสวยงาม มีร้านอาหารสะอาดควบคุมคุณภาพเข้มข้น
ระบบดูแลความปลอดภัยยอดเยี่ยม สถิติการเกิดอาชญากรรมต่ำมาก
ประชากรในกรุงเวียนนามีราว 2 ล้านคน แต่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนปีละ 12 ล้านคน
เมื่อถามนักท่องเที่ยวว่าทำไมจึงพอใจกับการเที่ยวกรุงเวียนนา ส่วนใหญ่ตอบว่าเพราะเป็นเมืองน่าอยู่นั่นเอง