ฟ้า พูลวรลักษณ์ : หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (150) : โลกของเรากำลังเปลี่ยนพระเจ้า

ฟ้า พูลวรลักษณ์

โลกของเรากำลังเปลี่ยนพระเจ้า

พระเจ้าองค์เก่าของเราก็มีหลายชื่อ เช่น พระนารายณ์ พระศิวะ พระพรหม พระอัลล่าห์ ฯลฯ บางคนก็บอกว่า พระนามเหล่านี้ เป็นชื่อของพระเจ้าองค์เดียวกัน เพียงแต่ปรากฏขึ้นในหลายรูปนาม

พระเจ้าองค์ใหม่ของเราก็มีหลายชื่อเช่นกัน เช่น

Bill Gate

Steve Jobs

Mark Zuckerberg

แอพพลิเคชั่นในโลกไซเบอร์ที่สำคัญเป็นจอมยุทธ์ มีบ้างเป็นฝ่ายธรรมะ เช่น google ซึ่งฉันใช้ประโยชน์เกือบทุกวัน มันเป็นฝ่ายขาว แต่ที่น่าสนใจคือจอมยุทธ์ที่เป็นฝ่ายกึ่งธรรมะและอธรรม ได้แก่ Facebook ฉันว่ามันมีทั้งคุณและโทษ เป็นการง่ายที่จะพูดว่าขึ้นกับผู้ใช้ ฉันกำลังมองอะไรที่กว้างและไกลกว่านั้น

คนติดโซเซียลมีเดียกันมาก จนกลายเป็น phone zombies เรามองเห็นรอบตัวของเรา มันหนักข้อขึ้นทุกวัน อีกไม่นานคงมีกฎหมายออกมาเรื่อยๆ เพื่อป้องกัน อาการป่วยไข้ของมนุษย์

แต่ไม่แน่ อาจจะช้าไปและน้อยไป

สมมุติมีใครคนหนึ่งสามารถสร้างโปรแกรมที่ไปขโมยเงินชาวโลก คนละ ๙๙ สตางค์ จะเกิดอะไรขึ้น คิดดูแล้ว เขาไม่ได้ทำร้ายอะไรใครเลย ต่อให้เป็นคนขอทาน หากถูกขโมยไป ๙๙ สตางค์ ก็ไม่เดือดร้อน

มนุษย์ทุกคน หากถูกขโมยเงินไป ๙๙ สตางค์

๑ จะไม่มีใครรู้ตัว

๒ ถึงรู้ตัวก็ไม่ว่าอะไร

ส่วนคนขโมย ก็จะร่ำรวยมหาศาล ยิ่งกว่าใครในโลก เพราะเขาจะได้เงิน แปดพันล้านบาท

ต่อให้เขาขโมยครั้งเดียว เขาก็ร่ำรวย ใช้ไม่หมด

และหากเขาจะขโมยแค่เดือนละครั้ง เขาก็จะได้เงินหลายหมื่นล้านต่อปี

นานวันเข้า ก็เป็นหลายแสนล้าน

โดยที่เขาไม่ได้ทำร้ายอะไรใครเลย ในความหมายของโลกเก่า เขาไม่ได้ทำร้ายใครจริงๆ เพราะเงิน ๙๙ สตางค์ แม้แต่ขอทาน หายไปแค่นี้ก็ไม่เดือดร้อน

แต่อาชญากรรมนี้ ในแง่หนึ่งก็ร้ายแรงยิ่งนัก แม้จะไม่มีเจ้าทุกข์ เพราะเขากำลังขโมยมนุษยชาติ

เพราะมนุษย์แปดพันล้านคน หากขยับเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง เพียงแค่หนึ่งอนุภาค เกิดคลื่นความสั่นเหมือนปีกผีเสื้อ

มนุษย์จะเปลี่ยนมิติ

เปลี่ยนนิดเดียวนี้ แต่หากเปลี่ยนหมดทั้งโลก มีผลกว้างใหญ่

และสิ่งนี้กำลังเกิดขึ้น

โซเชียลมีเดีย กำลังเปลี่ยนมนุษย์

เราถูกขโมยอะไรไปนิดหนึ่ง ซึ่งโดยตัวมันเอง เราจะไม่รู้สึกตัว ถึงรู้สึกตัว ก็ไม่ว่าอะไร

มันช่างเล็กน้อยเหลือเกิน จนกระทั่งว่า เราเหลียวมองรอบตัว และเห็นความผิดปกติของมนุษย์

ฉันมีเพื่อนที่เคยสนิทสนม แต่วันนี้แทบไม่มีอะไรคุยกันแล้ว เพราะเวลาเจอกัน เขาจะอยู่ไม่สุข ประเดี๋ยวเดียว เขาก็จะเข้า Facebook เข้าไปอ่าน ไปคุย ไปเล่น เขาทำไปโดยไม่รู้ตัว ขนาดนั่งคุยกันในร้านอาหาร เขาก็คุยกับฉันเพียงแค่นิดหน่อย โลกเหมือนจริงเย้ายวนกว่า เวลาโทรศัพท์ไปหา เขาก็ไม่เต็มใจคุยกับฉัน เหมือนคนไม่ว่างตลอด

ไม่น่าแปลกใจ ที่เราเห็นบางคนเล่นแม้ขณะดูหนัง ในโรงหนัง เขาทนไม่ไหว

ผู้คนติดโซเชียลมีเดีย เหมือนคนสมัยหนึ่งติดฝิ่น

ร้ายแรงน้อยกว่า แต่กว้างใหญ่ไพศาล และลึกกว่า มันครอบคลุมทุกพื้นที่ อย่าดูถูกคนติดฝิ่น เขายอมหมดตัว ยอมบ้านแตก เพราะเขาตกอยู่ในโลกเหมือนจริง

คนติดเฮโรอีน หรือยาบ้า ก็ล้วนตกอยู่ในโลกเหมือนจริง

เพียงแต่มันดุร้ายกว่า จึงสั้น และตื้นกว่าโลกไซเชียลมีเดีย พวกมันเป็นขโมยดุร้ายปล้นบ้าน โลกไซเบอร์ขโมยเงินคราวละไม่กี่สตางค์

๑ คนเราจึงเริ่มไม่มีเพื่อนในโลกแห่งความเป็นจริง ที่จริงก็ยังมี แต่สนิทน้อยลง หากถามเจ้าตัว ก็ไม่แน่ใจว่าดีหรือเลว เพราะเขาได้เพื่อนใหม่ในไซเบอร์เป็นพันคน แต่เพื่อนไซเบอร์ไม่เหมือนเพื่อนในโลกแห่งความเป็นจริง เขาได้แมลงมาเป็นเพื่อน

๒ คนเราเริ่มไม่มีคู่ชีวิต เพราะขนาดคู่ชีวิต ก็ต่างคนต่างอยู่ ในโลกเหมือนจริงของตัวเอง

๓ คนเราไม่มีพ่อแม่

๔ คนเราไม่มีพี่น้อง

นี่ขนาดเริ่มต้น เรายังเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้

แต่โปรแกรมขโมยเงินนี้ เนื่องจากไม่มีความผิด มันทำอีกได้เรื่อยๆ

แค่เดือนละครั้งก็พอ ไม่จำเป็นต้องโลภมาก เพราะขนาดแค่เดือนละครั้ง จอมขโมยคนนี้ก็ได้หลายหมื่นล้าน

มนุษย์จะขยับเปลี่ยนไปเรื่อย เราไม่มีวันหมดตัว

แต่เราจะไม่เหมือนเดิม

ตั้งคำถามใหม่ สิ่งต่อไปนี้อะไรดีกว่า

๑ โลกแห่งความเป็นจริง

๒ โลกเหมือนจริง

ต่อให้คิดแบบคนปัญญาอ่อนแค่ไหน ก็ต้องมองออกว่าโลกแห่งความเป็นจริงเหนือกว่า เพราะโลกเหมือนจริงอยู่โดยตัวมันเองไม่ได้ มันเป็นเพียงรองนางงาม ตลอดกาล

มนุษย์ต้องการโลกเหมือนจริงมาช้านาน ตั้งแต่วันที่เราอ่านนิยาย เราดูหนังดูละคร เราต้องการไปโลกอื่น เพียงแต่โลกไซเบอร์ มันเหมือนจริงยิ่งขึ้น แต่เหมือนเท่าไร ก็จะไม่ใช่ความจริง ต่อให้เหมือน ๙๙% หรือ ๙๙.๙% มันก็ยังห่างไกลกับความจริงอยู่นั่นเอง เพราะนี้คือความร้ายกาจของความจริง ที่มีมิติของตัวมันเอง

รองนางงามนี้ ยังไงก็เอาชนะนางงามไม่ได้

ฉันจะยกตัวอย่างง่ายๆ ที่โลกแห่งความจริงมี และโลกเหมือนจริงไม่มี และไม่อาจมี

อากาศ

สิ่งเรียบง่าย และเป็นพื้นฐานนี้ มีผลกว้างใหญ่ยิ่งนัก

ใกล้สุดที่โลกเหมือนจริงจะทำได้ คือการสร้างบรรยากาศ แต่มันยังไม่ใช่อากาศ

อากาศมีความร้อนหนาว

โลกไซเบอร์ไม่มีอากาศ จึงไม่มีความร้อนหนาว

แต่ความร้อนหนาว เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สุดของการอยู่รอดของชีวิต หนาวเกินไป หรือร้อนเกินไป ชีวิตอยู่ไม่ได้ มันเปลี่ยนเกมทั้งหมด

ในโลกแห่งความเป็นจริง แค่ฝนตกนิดหน่อย ยังมีผล ยังไม่ต้องพูดถึงพายุ

แปลกที่ ในโลกแห่งความเป็นจริง ยังมี

สิ่งลี้ลับ

สิ่งอาถรรพ์

มีผี

ฉันไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้ และไม่สนใจข้องเกี่ยว แต่มันมีอยู่ เพราะมนุษย์มีจิต และจิตสร้างสิ่งเหล่านี้ได้ เนื่องจากไม่มีคำอธิบาย ไม่มีเหตุผล เราจึงต้องรับรู้เอง

โลกเหมือนจริงไม่มีผี ไม่มีสิ่งลี้ลับ

ในโลกไซเบอร์มีไวรัส ซึ่งก็คือผีในโลกเหมือนจริง มันร้ายกาจยิ่งนัก แต่มันก็ยังไม่ร้ายแบบเดียวกับผีในโลกแห่งความจริง มันเป็นผีต่างเผ่าพันธุ์ โลกสองโลกนี้ มีพระเจ้าและผีต่างกัน

ที่ฉันพูดถึงมัน เพราะแก่นของมนุษย์ คือเราจะอยู่รอดได้อย่างไรในจักรวาล

มันเป็นคำถามพื้นฐาน เรียบง่าย และเป็นนิรันดร

แต่หากเรามาถามว่า

๑ เราจะอยู่รอดได้อย่างไรในโลกแห่งความเป็นจริง

๒ เราจะอยู่รอดได้อย่างไรในโลกเหมือนจริง

สองคำถามนี้ สำหรับคนที่นั่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม ในห้องที่เปิดแอร์ หรือมีโซฟา มีเก้าอี้ จะไม่รู้สึกว่าต่างกันเท่าไร บรรยากาศก็ไม่ต่างจากอากาศ

แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ที่มีอากาศ แปรปรวนไม่สิ้นสุด มีอุณหภูมิแปรเปลี่ยนได้กว้างไกล มันแตกต่างมหาศาล

๑๐

ยกตัวอย่าง ใครก็ตาม ที่เล่นคอมพิวเตอร์เกมจนเป็นเซียน เพราะเล่นบ่อยจนชำนาญ จนสามารถทะลุทะลวงไปสู่ระดับสูงสุด แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง มาเจอเกมชีวิตจริง ก็เล่นไม่เป็น

ต่อให้ไปเล่นเกมในกาสิโน ซึ่งเป็นเกมชนิดหนึ่ง มองเผินๆ ก็มีกติกา มีกฎบางอย่าง คล้ายคอมพิวเตอร์เกม แต่ทำจริง ก็ไม่เหมือน เซียนคอมพิวเตอร์เกม ก็เล่นเกมในกาสิโนไม่ได้

เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง มี

อากาศ

ผี

จิตดวงอื่น

โลกเหมือนจริง แม้จะมีมนุษย์แปดพันล้านคนเล่น แต่ความเป็นจิตดวงอื่นนี้ ก็ไม่ใช่ มันแค่คล้าย