ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 มิถุนายน 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | ภาพยนตร์ |
ผู้เขียน | นพมาส แววหงส์ |
เผยแพร่ |
ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์
GODZILLA : KING OF THE MONSTERS
‘ตำนานผสานไซไฟ’
กำกับการแสดง Michael Dougherty
นำแสดง Kyle Chandler Vera Farmiga Millie Bobby Brown Ken Watanabe Sally Hawkins Zhang Ziyi Charles Dance
ก็อดซิลล่าเป็นอสูรที่ออกอาละวาดคุกคามผู้คนทั่วโลก ไม่ว่าก็อดซิลล่าจะไปที่ไหนผู้คนก็หนีตายกันจ้าละหวั่น เพราะอสูรตนนี้ตัวโตเหมือนตึกหลายสิบชั้น
ก็อดซิลล่ามีกำเนิดจากวัฒนธรรมญี่ปุ่นมานานแล้ว ตั้งแต่ผู้เขียนยังเด็กก็รู้จักก็อดซิลล่า ระยะหลังๆ กระแสวัฒนธรรมข้ามกันไปมา เลยกลายมาเป็นหนังฮอลลีวู้ด และใช้นักแสดงหลายเชื้อชาติปนเปกันเพื่อสร้างความเป็นนานาชาติ
และคงเคยทราบกันบ้างแล้วว่า ก่อนหน้านี้ ก็อดซิลล่าได้เจอกับคิงคอง ฟาดฟันห้ำหั่นกันสนุกสนาน
Godzilla : King of the Monsters เป็นภาคต่อมาจาก Godzilla (2014) ซึ่งผู้เขียนสารภาพว่าไม่ได้ดู และเพิ่งย้อนกลับไปดูหลังจากดูหนังที่กำลังออกฉายอยู่นี้จะได้ปะติดปะต่อพอรู้ที่มาที่ไปอยู่บ้าง
ครอบครัวที่ประสบโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในเหตุการณ์ก็อดซิลล่าอาละวาดในซานฟรานซิสโกหลายปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย มาร์ก รัสเซลล์ (ไคล์ แชนด์เลอร์) และเอ็มมา (เวรา ฟาร์มิกา) และลูกสาว แมดิสัน (มิลลี่ บ็อบบี้ บราวน์) ยังคงทนทรมานจากการสูญเสียลูกชายไป และแยกกันอยู่เพราะต่างมีความเห็นไปคนละทางในทัศนะเกี่ยวกับก็อดซิลล่า
มาร์กต้องการกำจัดอสูรขนาดมหึมาให้สูญพันธุ์ไปจากโลก
ขณะที่เอ็มมามองเห็นข้อดีในด้านระบบนิเวศที่เหล่าอสูรเหล่านี้จะสร้างสมดุลให้แก่โลกที่เราอยู่นี้
เอ็มมาพัฒนาเครื่องมือที่จะส่งเสียงความถี่สูงเพื่อสื่อสารกับสัตว์ประหลาดพวกนี้ และต้องการปลุกให้ตื่นจากการหลับใหลอยู่ใต้พิภพ
ด้วยความช่วยเหลือของพันเอกโจนาห์ อลัน (ชาร์ลส์ แดนซ์) นักรบที่ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ก่อการร้าย แต่เขาอ้างว่าทำเพื่อกอบกู้ระบบนิเวศของโลกกลับคืนมา หลังจากที่มนุษย์สร้างความเสียหายให้แก่โลกมามาก และเหล่าอสูรพวกนี้คือผู้ที่จะมากอบกู้โลกต่างหาก
ขณะเดียวกันองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อควบคุมจัดการกับเหล่าอสูรในชื่อว่า “โมนาร์ก” ภายใต้การนำของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ซึ่งมี ดร.เซริซาวา (เคน วาตานาเบ) กับ ดร.วิเวียน (แซลลี ฮอว์กินส์) เป็นผู้นำ ก็เข้ามามีบทบาทในการออกอาละวาดของเหล่าอสูรอีกครั้ง
คราวนี้เราได้เห็นสัตว์ประหลาดหลากหลายรูปแบบ มีทั้งมังกรสามหัว ตั๊กแตนยักษ์ ฯลฯ ซึ่ง ดร.เฉิน (จางซียี่ ที่มาในรูปลักษณ์แปลกตาของสาวสมัยใหม่ ไม่ใช่นางเอกในเครื่องแต่งกายจีนโบราณอีกแล้ว) ทำการค้นคว้ากลับไปถึงต้นกำเนิดในตำนานปรัมปราในวัฒนธรรมโบราณทั่วโลก
แถมให้ข้อสันนิษฐานจากอารยธรรมโบราณทั่วโลกอีกด้วยว่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้น่าจะมาจากต่างดาวยุคก่อนไดโนเสาร์เสียอีก แต่ได้หลับใหลอยู่ใต้พื้นพิภพเรานี่เอง และมีอยู่หลายตัวทั่วโลก ทั้งในจีน ญี่ปุ่น อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ฯลฯ
ผู้ก่อการร้ายเพื่อประโยชน์ทางระบบนิเวศวิทยา จึงต้องการปลุกสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาเหล่านี้มาให้ฟาดฟันทำลายล้างกัน เพื่อให้โลกอยู่รอด
เราเพิ่งได้เห็นเนื้อหาแบบเดียวกันนี้มาหยกๆ ใน Avengers ซึ่งมีเทพเจ้าเก่าแก่ก่อนยุคของซุสชื่อธานอส พยายามจัดการกับภาวะประชากรล้นจักรวาล ด้วยการทำลายไปเสียครึ่งหนึ่ง
ไม่เพียงแต่เฉพาะบนโลกของเรา แต่ในดวงดาวอื่นๆ ทั่วทั้งจักรวาล ทั้งนี้เพื่อความอยู่รอดและอยู่ดีกินดีของประชากรในจักรวาลเอง โดยไม่ต้องแก่งแย่งกันใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่มีจำกัด
ธีมเดียวกันเป๊ะเลยค่ะ ต่างกันแต่วิธีการรักษาสมดุลโลกสมดุลจักรวาล
อย่างน้อยที่สุด หนังเหล่านี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลทางระบบนิเวศที่มนุษย์รุกรานอย่างไม่บันยะบันยัง ด้วยอัตราการเบียดเบียนและทำลายธรรมชาติแบบนี้ มนุษยชาติจะอยู่ได้อย่างสบายในโลกอีกกี่สิบกี่ร้อยปีกันเล่า
ใน Godzilla อสูรเหล่านี้หล่อเลี้ยงชีพจากกัมมันตภาพรังสี และแหล่งพลังงานต่างๆ ในโลก เช่น โรงผลิตไฟฟ้า
สัตว์ประหลาดจึงมุ่งหน้าไปหาแหล่งพลังงานเหล่านั้น แถมสามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็วในโพรงใต้พิภพ จึงไม่ต้องโผล่ขึ้นเหนือพื้นโลก และลัดตัดตรงไปเพียงชั่วเวลาสั้นๆ
เมื่อถึงที่สุดของที่สุดแล้ว เคน วาตานาเบ ก็ยังรักษาภาพลักษณ์แรกเริ่มใน The Last Samurai ที่สร้างความประทับใจให้แก่บทบาทและตัวเขาในฐานะผู้สวมบทบาท และสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ให้แก่โลกอีกครั้ง
ผู้เขียนชอบตัวร้ายที่สุดในบรรดาสัตว์ประหลาด คือกิโดราห์ ซึ่งเป็นมังกรสามหัวตามแบบจีน มีบทบาทมากที่สุดในหนัง และรูปร่างหน้าตาสง่างามชวนเกรงขามเป็นที่ยิ่ง
ขณะที่สัตว์ประหลาดตัวเอกของเรื่องนั้นผู้เขียนดูแล้วรู้สึกว่าหน้าตาน่าสงสารพิลึก ไม่ค่อยน่าสะพรึงกลัวสักเท่าไร
เรื่องราวของหนังออกจะชวนสับสน และมีแต่การออกอาละวาดของอสูรร้ายโดยไม่รู้ที่มาที่ไป ได้แต่ให้เห็นภาพอันคุกคามความปลอดภัยของคนทั้งโลก และเนื่องจากเทคนิคการสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์นั้นยังต้องทำในความมืดสลัว ถึงจะดูสมจริงมากกว่า
เราจึงเห็นเรื่องราวเกิดขึ้นเวลากลางคืนแทบจะตลอดเรื่อง
ถ้าถามว่าหนังสนุกไหม ผู้เขียนก็จะตอบว่าไม่ค่อยสนุกเท่าไรค่ะ แต่ที่ชอบคือไอเดียหลายอย่างเบื้องหลัง อย่างเช่น เนื้อหาในเชิงระบบนิเวศ และการพาดพิงย้อนกลับไปถึงปกรณัมปรัมปราทั่วโลกที่กล่าวถึงสัตว์ประหลาดต่างๆ ไว้
อีกทั้งยังโยงสัตว์ประหลาดนั้นไปสู่ต่างดาว และพาดพิงไปถึงกำเนิดของโลก และสมดุลที่จะจัดการให้โลกนี้อยู่รอดยั่งยืน
นอกจากนั้น ยังโยงไปสู่อารยธรรมก่อนยุคประวัติศาสตร์ ที่จมอยู่ใต้น้ำ…ก็น่าจะเป็นการพาดพิงถึงแอตแลนติสนั่นแหละค่ะ
ตัวละครที่เชื่อมโยงตำนานเก่าแก่เหล่านี้ไว้ด้วยกันคือ จางซียี่ ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศจีน ผู้เขียนออกจะเสียดายที่บทบาทของ ดร.เฉินที่จางซียี่แสดงนั้นออกจะมีน้อยเกินไป แถมยังงงๆ กับการที่เธอถูกเรียกขานด้วยชื่อสองชื่อโดยไม่รู้ที่มาที่ไป เดี๋ยวก็เรียกว่า ดร.เฉิน เดี๋ยวก็เรียกว่า ดร.หลิง
ในส่วนการผจญภัยของครอบครัวรัสเซลล์ท่ามกลางการต่อสู้ขั้นเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของอสูรยักษ์สองตัวนั้น ทำเพื่อความตื่นเต้นและได้ลุ้นของตัวละครหลักล้วนๆ หาเหตุผลอะไรไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการที่แมดิสันจะหนีกลับไปบ้านที่เหมือนจะอยู่ในเขตสงคราม และการรวมตัวกันพร้อมหน้าไปช่วยเธอให้รอดปลอดภัย
ส่วนการกระทำของเอ็มมา แม่ผู้โศกเศร้ากับการสูญเสียลูกชายไปในเหตุการณ์ก็อดซิลล่าอาละวาด ก็หาเหตุผลดีๆ ที่น่าเชื่อไม่ได้เหมือนกัน
สําหรับแฟนพันธุ์แท้ของก็อดซิลล่า น่าจะได้รับความเพลิดเพลินเจริญใจจากการออกอาละวาดของอสูรผู้เปลี่ยนจากผู้ร้ายมาเป็นพระเอกในที่สุด
ในที่สุด ก็อดซิลล่าก็ไม่ใช่ผู้ทำลายล้าง แต่เป็นผู้กอบกู้โลกจนได้
หลังจากการฟาดฟันห้ำหั่นแล้ว หนังยังไม่จบทีเดียวนะคะ แต่ให้ความสบายใจแก่ชาวโลกด้วยภาพข่าวที่น่าจะเป็นข่าวดีตามหน้าหนังสือพิมพ์ทั่วโลก
ซึ่งนับเป็นการเล่าเรื่องอย่างฉลาด
แต่ถึงอย่างไรผู้เขียนก็ไม่นึกอยากดูก็อดซิลล่าภาคต่อไปอีกแล้วละค่ะ