จริงตนาการ : สร้างยอดดาวรุ่ง แนวทางป้องกันหายนะซ้ำรอย ของ “อัศวินสีส้ม”

“อัศวินสีส้ม” “เนเธอร์แลนด์” กลายเป็นทีมที่ขาดความแน่นอน ในบางช่วงบินขึ้นสูง เข้าถึงรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลกได้

แต่ในบางจังหวะก็ตกลงต่ำเรี่ยดิน ไม่ได้ไปแข่งขันฟุตบอลโลกด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เป็นหนึ่งในชาติมหาอำนาจของโลกฟุตบอล

หลังจากที่ “หลุยส์ ฟาน กัล” พาอัศวินสีส้มเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ เวิลด์คัพ 2014 ที่บราซิล และโบกมือลาทีมไปคุมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจากนั้นผลงานของเนเธอร์แลนด์ก็ดำดิ่งลงไป ไม่ได้ไปเล่นทั้งยูโร 2016 และฟุตบอลโลก 2018 ถึงแม้จะมีนักเตะฝีเท้าดีอยู่เต็มทีมก็ตาม

“กุส ฮิดดิ้งก์” ทำทีมได้ 12 เดือนก็โบกมือลาไป “แดนนี่ บลินด์” เข้ามาทำแทน แต่อะไรๆ ก็ดูแย่ลง การไม่ได้ไปทัวร์นาเมนต์ใหญ่ 2 รายการติดต่อกัน เป็นหายนะที่ชาวดัตช์ทุกคนรู้สึกเหมือนกัน

สาเหตุหลักในวันนั้น “แฟรงก์ เดอ บัวร์” อดีตนักเตะอัศวินสีส้มอธิบายว่า เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับเนเธอร์แลนด์อยู่เสมอ คือการขาดนักเตะตัวตายตัวแทน เมื่อรุ่นใหญ่ทำผลงานได้อย่างอลังการ และเริ่มโรยราไป แต่รุ่นน้องไม่สามารถโตทันมาทดแทนกันได้ ความต่อเนื่องจึงไม่เกิดขึ้น

ทุกคนก็อยากจะผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายทุกรายการ แต่ประเทศเล็กๆ อย่างเรา จะมีช่วงเวลาแบบนี้แหละ เพราะเราไม่มีนักเตะพรสวรรค์มากมาย ก็เลยต้องถอยหลัง เพื่อตั้งหลัก แล้วออกไปแบบแข็งแกร่งกว่าเดิมแบบนี้อยู่ตลอด” แฟรงก์ เดอ บัวร์ กล่าว

 

โ”รนัลด์ คูมัน” อดีตตำนานนักเตะดัตช์ถูกแต่งตั้งให้เข้ามาทำหน้าที่หัวหน้าโค้ชทีมชาติเมื่อปีที่แล้ว มีภารกิจในการฟื้นฟูทีมชาติให้กลับมาอยู่ในสภาพที่เรียกว่า “ทีมใหญ่” ให้ได้อีกครั้ง

“การสร้างบ้านต้องเริ่มจากชั้นล่างก่อน ไม่ใช่เริ่มสร้างหลังคาก่อน” คูมันกล่าว

กุนซือทีมชาติคนใหม่ปรับเปลี่ยนทีมอย่างแรกๆ คือ การเลือกคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟใหม่ “เวอร์กิล ฟาน ไดก์” ปราการหลังลิเวอร์พูล ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีม เพราะฟอร์มกับสโมสรแข็งแกร่งเหลือเกิน และต้องยืนคุมเกมรับคู่กับ “มัทไธจ์ส เดอ ลิกต์” กองหลังวัย 19 ปี กัปตันทีมอายแอ็กซ์

ทั้งคู่ยืนคู่กันเป็นกำแพงเหล็กของอัศวินสีส้มได้อย่างลงตัว เมื่อนำมารวมทีมกับ “จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม” มิดฟิลด์ลิเวอร์พูล, “เมมฟิส เดปาย” ดาวยิงที่เคยตกอับกับแมนฯ ยูมาก่อน แต่ทุกวันนี้เกิดใหม่กับลียง และ “ไรอัน บาเบิล” ปีกวัย 32 ปี ที่คุ้นชินกับการเล่นทีมชาติ

แถมยังมี เฟรนกี้ เด ยอง เพลย์เมกเกอร์ป้ายแดงของบาร์เซโลนา ที่เป็นสายเลือดใหม่ของทีมชาติ

 

เนเธอร์แลนด์ทำผลงานเยี่ยมยอดในฟุตบอลยูฟ่า เนชั่นส์ลีก ชนะมาได้ทั้ง “ฝรั่งเศส, เยอรมนี” เข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศของลีกเอ หรือลีกสูงสุดของเนชั่นส์ลีก เจอกับอังกฤษ ทั้งๆ ที่ 2-3 ปีก่อนหน้านี้ยังเป็นทีมที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง

เมื่อทุกอย่างเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทาง การป้องกันปัญหาการขาดนักเตะหน้าใหม่มาเสริมทีมชาติก็เริ่มขึ้นอย่างจริงจังอีกครั้ง เนเธอร์แลนด์รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี ป้องกันแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์ชาติแห่งชาติยุโรป ในรุ่นอายุตัวเองเอาไว้ได้ เมื่อไม่กี่วันก่อน นักเตะชุดนี้ได้รับการปลุกปั้นอย่างเป็นระบบ ทั้งจากอคาเดมีของสโมสรและทีมชาติ เพื่อเป็นกำลังหลักในอนาคต

คูมันบอกว่า ในวันที่ตัวเองย้ายออกจากเนเธอร์แลนด์ไปเล่นให้บาร์เซโลนา ก็ปาเข้าไปอายุ 26 แล้ว แต่นักเตะรุ่นลูกทุกวันนี้ต่างทยอยออกไปอยู่กับอคาเดมีหรือลงเล่นให้ทีมในลีกใหญ่ๆ นอกประเทศตั้งแต่ยังเด็ก “จัสติน ไคลเวิร์ต” ย้ายจากอายแอ็กซ์ไปโรมาตอนอายุ 20 หรือ “คี จานา โฮเวอร์” ย้ายไปเชลซีตอน 17

“ทุกคนรู้ดีว่า ถ้าอยากจะเป็นนักเตะชั้นยอด ที่เนเธอร์แลนด์คงยังไม่ดีพอที่จะสร้างให้คุณไปถึงระดับนั้นได้ ดังนั้น ก็ต้องย้ายออกไปในลีกที่ใหญ่กว่า แต่นักเตะดาวรุ่งก็ถามผมบ่อยๆ ว่าทีมไหนดี ทีมไหนเหมาะกับเขาที่สุด จริงๆ แล้วสิ่งสำคัญคือ การที่คุณได้รับโอกาสลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ นั่นแหละมันจะช่วยให้คุณได้พัฒนาตัวเอง”

เฮดโค้ชอัศวินสีส้มกล่าว

 

อายแอ็กซ์เป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการสร้างความสำเร็จให้กับทีมชาติในอนาคต เพราะสโมสรแห่งนี้มีอคาเดมีที่ปั้นนักเตะชั้นยอดออกมานับไม่ถ้วนและไม่เคยขาดตอน ทำให้สหพันธ์ฟุตบอลเนเธอร์แลนด์ทำงานร่วมกับอายแอ็กซ์ เพื่อหาระบบในการสร้างนักเตะที่เหมาะสม เพราะผลงานในช่วงที่ผ่านมาของอายแอ็กซ์ การคว้าดับเบิลแชมป์ในประเทศ และเกือบเข้าชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยนักเตะอายุน้อยๆ เป็นสิ่งที่ยืนยันแล้วว่าอคาเดมีของพวกเขาได้ผล

“ใครๆ อาจจะบอกว่าเนเธอร์แลนด์กำลังกลับสู่ความยิ่งใหญ่แล้ว มันเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจที่ได้ยินแบบนี้ เพราะเรามีช่วงเวลาที่แย่มากใน 4-5 ปีที่ผ่านมา” คูมันกล่าว

การตัดเกรดครั้งใหญ่อาจจะไม่ใช่ความสำเร็จในเนชั่นส์ลีกสุดสัปดาห์นี้ แต่มันคือการคว้าสิทธิกลับเข้าไปในทัวร์นาเมนต์ใหญ่อย่างยูโร 2020 เป็นอันดับแรก และคว้าแชมป์เมเจอร์ให้ได้อีกสักครั้ง

หลังจากไม่ประสบความสำเร็จอะไรมาเลย 32 ปีแล้ว