จรัญ พงษ์จีน : รัฐบาล “ประยุทธ์” 2 มาแล้ว

จรัญ พงษ์จีน

ในที่สุด “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย สามารถป้องกันแชมป์ เป็นเชนคัมแบ๊ก กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกครั้ง สมประสงค์เสียที

สะเด็ดน้ำ หลังการประชุมร่วมระหว่างกรรมการบริหารพรรคและ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นานกว่า 5 ชั่วโมงยุติ เมื่อเสียงส่วนใหญ่มีมติเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ และพันธมิตร 61 ต่อ 16 เสียง

โดยมีเงื่อนไขในการเข้าร่วมตัดปลายนวม 3 ข้อ และได้รับการตอบรับจากพรรคแกนนำคือ “พรรคพลังประชารัฐ” ได้แก่ 1.เรื่องนโยบายแก้จน สร้างคนสร้างชาติ 2.การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้รับการยอมรับ และ 3.เงื่อนไขในการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปอย่างสุจริต

“นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” หัวหน้าพรรคมือใหม่ แถลงเหตุผลที่พรรคประชาธิปัตย์มีมติเข้าร่วมรัฐบาลเพิ่มเติมอีก 5 ประการด้วยกัน คือ

1. เพื่อให้ประเทศหลุดพ้นความไม่แน่นอนทางการเมือง

2. ให้ประเทศมีรัฐบาลซึ่งมีเสียงข้างมากในสภา

3. ให้ประเทศได้ขับเคลื่อนการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง โดยเฉพาะเกษตรกร ชาวสวน ชาวประมง มีหลักประกันรายได้

4. การตั้งรัฐบาลใหม่โดยเร็ว อีกนัยยะหนึ่ง เป็นเสมือนหนึ่งการหยุดอำนาจ หรือปิดสวิตช์ คสช. เพราะ คสช.จะหมดอำนาจเมื่อรัฐบาลใหม่ถวายสัตย์ปฏิญาณหรือเข้าปฏิบัติหน้าที่

5. เงื่อนไขการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ คือเสนอแก้รัฐธรรมนูญ ก็เพื่อนำประเทศไปสู่ประชาธิปไตยยิ่งขึ้น โดยปลดล็อกหมวดที่ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ทำได้ยากยิ่ง หรือเกือบไม่ได้เลย โดยแก้มาตรานี้ก่อน ให้แก้รัฐธรรมนูญได้ด้วยกติกาปกติ เพื่อป้องกันการฉีกรัฐธรรมนูญในอนาคตด้วย

ด้วยเหตุผลดังกล่าว พรรคจึงมีมติเข้าร่วมรัฐบาล และมีมติสนับสนุน “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ตามที่พรรคพลังประชารัฐนำเสนอ

สรุปที่พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล มิใช่เกมผลัดกันเกาหลัง ที่ก่อนหน้านี้พรรคพลังประชารัฐสนับสนุน “นายชวน หลีกภัย” เป็นประธานรัฐสภา “ประชาธิปัตย์” จึงต่างตอบแทน

เป็นอันว่า รัฐบาล “ตู่ภาค 2/1” สามารถผ่าทางตันได้สำเร็จ หลังจากลุ้นระทึกมาตั้งแต่วันเลือกตั้งใหญ่ เมื่อ 24 มีนาคม โดยประกอบด้วยพรรคการเมือง 19 พรรคสนับสนุน คือ

พลังประชารัฐ 116 เสียง ประชาธิปัตย์ 53 ภูมิใจไทย 51 ชาติไทยพัฒนา 10 รวมพลังประชาชาติไทย 5 ชาติพัฒนา 3 พลังท้องถิ่นไทย 3 รักษ์ผืนป่าประเทศไทย 2 พรรคประชาชนปฏิรูป พลังชาติไทย ประชาภิวัฒน์ ไทยศรีวิไลย์ พลังไทยรักไทย ครูไทยเพื่อประชาชน ประชานิยม ประชาธรรมไทย พลเมืองไทย พลังธรรมใหม่ ประชาธิปไตยใหม่ พรรคละ 1 คน

รวมเสร็จสรรพมีฐานเสียงสนับสนุน 254 เสียง “ปริ่มน้ำ” เกินครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรเพียง 4 ที่นั่ง

เข้าสเป๊ก “เตี้ยอุ้มค่อม ผอมอุ้มอ้วน แขนด้วนอุ้มแขนดี” ส.ส.พรรคร่วมจะขี้จะเยี่ยวในเวลาเดียวกันแทบไม่ได้ ต้องตรวจเช็กริดสีดวงกันให้ดีๆ ไม่งั้นยุ่ง

 

การเถื่อนกระโจนเข้าร่วมวงไพบูลย์ หนุน “บิ๊กตู่” คืนสู่ทำเนียบอีกคำรบของพรรคประชาธิปัตย์นำ 2 สิ่งสู่วงการเมืองอย่างมีสาระสำคัญยิ่ง หนึ่งคือ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทย และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถูกคนกันเองทำ “ปืนลั่น” สลบเหมือด

ก่อนประชุม “รัฐสภา” ที่หอประชุมใหญ่บริษัททีโอที ก่อนพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี “นายอภิสิทธิ์” แสดงสปิริต ฮาราคีรีตัวเอง ประกาศลาออกจาก ส.ส.คนเดียว พร้อมร่ายยาวถึงเหตุและผล

แต่บทสรุป ของการไขก๊อกโดยรวม เพื่อรักษาเกียรติภูมิ ไม่ใช่เฉพาะของตัวเอง แต่เป็นเกียรติภูมิของตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคที่มีคำขวัญว่า “สัจจัง เว อมตา วาจา” ที่จะต้องรักษาคำพูด และรับผิดขอบต่อคำพูดที่กล่าวไว้กับพี่น้องประชาชน เพราะการทำงานการเมืองของตัวเองนั้น ยึดถืออุดมการณ์และหลักการเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่เรื่องของความเลื่อนลอย

“หนุ่มมาร์ค” ส่งท้ายด้วย “บาป 7 ประการของคานธี” หนึ่งในนั้นคือการเมืองที่ปราศจากหลักการ ดังนั้น “ผมไม่สามารถทำบาปนั้นได้ จึงจำเป็นต้องตัดสินใจลาออกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”

“ประการที่สอง” แม้พรรคประชาธิปัตย์มีมติด้วยเสียงข้างลากไป 61 ต่อ 16 เสียงในการเข้าร่วมรัฐบาล ก็มิใช่ว่า “ตู่ภาค 2/1” จะเวิร์กไปทุกองค์ประกอบ หากพิจารณาถึงพรรคร่วมรัฐบาลที่มีถึง 19 พรรค หลายพ่อพันแม่

ยิ่งประชาธิปไตยไทยถูก “คสช.” จับเข้าช่องฟรีซ “แช่แข็ง” มาเป็นเวลา 5 ปี “คนการเมือง” เหมือนตายอดตายอยากมานานวัน

แค่ชั่วโมงนี้ ในขั้นตอนของการเริ่มต้น การจัดสรรกระทรวงกันรับผิดชอบ ระหว่างพรรคร่วมด้วยกัน ก็เริ่มปั่นป่วน

มีข่าวว่า “พปชร.” วางแผนสลับซับซ้อน ยอมตีไพ่หมอบให้ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยในยกแรกไปก่อน

ด้วยการยกกระทรวงเกรดเอให้ไปทั้งดุ้น โดย “ประชาธิปัตย์” ได้โควต้าว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์-พาณิชย์-ศึกษาธิการ

ขณะที่ “ภูมิใจไทย” หยิบชิ้นปลามัน ฉันของดี ทั้ง “ว่าการกระทรวงคมนาคม-สาธารณสุข-การท่องเที่ยวและกีฬา”

แต่พลันที่มีการโหวต “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นนายกฯ สำเร็จ “สถานการณ์เปลี่ยน”

“พปชร.” อาจจะต่อรองใหม่ ขอสลับสับเปลี่ยนกระทรวงกำกับดูแลกันใหม่

ประชาธิปัตย์อาจจะต้องแลกโควต้ากระทรวงพาณิชย์กับศึกษาธิการ

“ภูมิใจไทย” จะต้องคาบกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

นอกจากนั้นแล้ว พรรคร่วมขนาดเล็ก 5 เสียงจากรวมพลังประชาชาติไทยของ “กำนันสุเทพ” ก็ต้องมีโควต้า

ชาติพัฒนาของ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” มีอยู่แค่ 3 ที่นั่งก็จริง แต่ไปเจรจาพรรคเล็ก 1 ที่นั่งมาได้ 3-4 ที่นั่ง รวมเป็น 7 เสียง ก็พอกล้อมแกล้ม อย่างน้อยๆ 1 รัฐมนตรีช่วย จากกระทรวงเกรดเอ

“สรุป” การเมืองเรื่องรัฐบาล “ประยุทธ์ ภาค 2/1” ยังไม่นิ่ง