ฉัตรสุมาลย์ : จุดเริ่มต้นของเถรวาทในลังกา

กําลังอ่านงานของพุทธโฆษาจารย์ ก็เลยนำมาสู่บทความนี้ ซึ่งถือว่าเป็นงานเขียนที่ย่อยความรู้ความเข้าใจในหัวข้อที่ตั้งไว้

มีความเข้าใจกันโดยทั่วไปว่า เถรวาทนั้น เริ่มต้นตั้งแต่ปฐมสังคายนา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังพุทธปรินิพพาน ประมาณ 3 เดือน เมื่อพระมหากัสสปเถระเป็นประธานในการประชุมสงฆ์ เข้าใจกันว่าเป็นพระอรหันต์ล้วน โดยมีพระอานนท์เถระ เป็นพระอรหันต์รูปสุดท้ายที่เข้าร่วมประชุมด้วย

นัยยะต่อเนื่องที่สืบสายมาเป็นเถรวาท ก็คือ เรื่องที่ในที่ประชุมไม่สามารถตกลงกันได้ว่า ที่พระพุทธองค์เคยทรงอนุญาตไว้ว่า ต่อไปในอนาคต อาบัติเบา หากสงฆ์เห็นพ้องกันก็สามารถยกขึ้นได้ หรือเพิกถอนได้นั้น จะขีดเส้นตรงไหนที่จะถือว่าเป็นอาบัติหนักที่ต้องรักษาไว้ และตรงไหนที่เป็นอาบัติเบาที่อาจจะเพิกถอนได้

เมื่อคณะสงฆ์ตกลงกันไม่ได้ ย้อนกลับไปปรับอาบัติกับพระอานนท์อีกว่า ไม่ทูลถามให้รอบคอบ

ในที่ประชุมสงฆ์นั้น พระมหากัสสปเถระ ผู้ทำหน้าที่เป็นประธานสงฆ์ จึงเสนอให้รักษาของเก่าไว้ทั้งหมด ไม่มีการเพิ่มเติมของใหม่ เมื่อในที่ประชุมไม่มีเสียงเป็นอื่น คือไม่มีผู้คัดค้าน ให้ที่ประชุมถือตามมติของพระมหากัสสปเถระ

อันนี้เป็นท่าทีในสังฆกรรมที่ปรากฏ เช่น การอุปสมบท จะมีการถาม 3 ครั้ง หากมีรูปใดเห็นต่างก็จะแสดงความเห็นตรงนี้ หากสงฆ์เงียบก็จะถือว่าทุกรูปยอมรับตามนั้น แล้วสวดครั้งที่ 4 คือประกาศว่าผู้นั้นได้รับการยอมรับว่าเป็นภิกษุ

พระสงฆ์ผู้ถือตามมติครั้งนั้น เรียกว่า เป็นผู้ถือเอาตามวาทะของพระเถระ จึงเป็นต้นเค้าของเถรวาท

 

ทั้งหมดที่ว่ามาแล้วนั้น จะไม่มาถึงยุคสมัยของเราได้เลย หากไม่มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐาน

ในตอนที่พระพุทธองค์กำลังจะทรงดับขันธ์ปรินิพพานนั้น พระอานนท์ทูลถามว่าจะมีการแต่งตั้งผู้ใดเป็นผู้นำสงฆ์เมื่อพระพุทธองค์สิ้นไปแล้ว พระพุทธองค์กลับทรงเตือนพระอานนท์ ผู้เป็นทั้งพุทธอนุชาและพุทธอุปัฏฐาก ว่าได้ประทานไว้แล้วทั้งหมดทั้งสิ้น ให้ถือพระธรรมและพระวินัยเป็นปทีป (ปทีป แปลว่า เกาะ โดยนัยยะว่าให้เป็นหลักที่ยึดถือ)

พระไตรปิฎกได้รับการจารลงบนใบลานครั้งแรกประมาณ พ.ศ.450 ที่วัดอาลุวิหาร นอกเมืองแคนดี้ในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในเกาะลังกา

ก่อนหน้านั้น สืบทอดกันมาโดยการทรงจำของพระสงฆ์ เช่น อาจารย์ท่านหนึ่งเป็นผู้มีความสามารถทรงจำพระสูตรหัวข้อนี้ ผู้ที่เข้าไปสมัครเป็นลูกศิษย์สายท่านก็จะได้รับการถ่ายทอดพระสูตรนั้นๆ

พระธรรมวินัยที่แสดงไว้ดีแล้วโดยพระพุทธเจ้านั้น ส่งผ่านมาหลายยุคหลายสมัยโดยการทรงจำ

จากพระธรรมวินัยที่ปรากฏในปัจฉิมโอวาท คือโอวาทครั้งสุดท้ายของพระพุทธเจ้า เมื่อ 450 ปีผ่านไป ศาสนาพุทธไปประดิษฐานในศรีลังกาแล้ว เมื่อเกิดภัยภิบัติทางธรรมชาติขึ้น พระสงฆ์กระจัดกระจายกันออกไป

เมื่อบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ พระเจ้าแผ่นดินของศรีลังกามีความปริวิตกว่า หากพระธรรมวินัยอยู่กับตัวบุคคล คืออยู่กับพระสงฆ์ หากมีภัยภิบัติ พระศาสนาก็จะสูญหายไปได้

จึงโปรดให้มีการจารคำสอนขึ้นเป็นครั้งแรก กลายเป็นพระไตรปิฎก หมายความว่า สามตะกร้า

 

ที่ว่าสามตะกร้านั้น เพราะในการจารคำสอนลงบนใบลานครั้งแรกนั้น รวบรวมใบลานที่จารแล้ว แยกกันตามหมวดลงในสามตะกร้า หมายถึงสามหมวด

พระไตรปิฎกที่ว่านี้ เป็นอักษรสิงหล

ร่วมสมัยกันก็มี พงศาวดารในคริสต์ศตวรรษที่ 4 คือ คัมภีร์ทีปวงศ์ และคัมภีร์มหาวงศ์ คริสต์ศตวรรษที่ 5

พงศาวดารที่ว่านี้ มุ่งเน้นการบันทึกประวัติศาสตร์ของศรีลังกาเป็นหลัก แต่ก็อีกนั่นแหละ ประวัติศาสตร์ของศรีลังกาเกิดการรวบรวมขึ้นเมื่อพุทธศาสนาไปถึงที่เกาะนั้น ในพุทธศตวรรษที่ 3 ในสมัยของพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะของศรีลังกา และพระเจ้าอโศกมหาราชของอินเดีย

นอกจากคัมภีร์หลักที่ว่านี้ ก็มีอรรถกถาอีกจำนวนหนึ่ง

ทั้งหมดเป็นภาษาสิงหล

 

บุคคลสำคัญที่เดินทางเข้ามาในศรีลังกาในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 5 เป็นพระภิกษุชาวอินเดีย ผู้เขียนค่อนข้างจะแน่ใจว่าเป็นอินเดียใต้ โดยหลักฐานทางภูมิศาสตร์ แต่ก็มีความพยายามในภายหลังที่จะเชื่อมโยงว่าท่านมีถิ่นกำเนิดที่พุทธคยา เพื่อให้ใกล้ศูนย์กลางของพุทธศาสนาในอินเดียมากขึ้น

ท่านนี้คือ พุทธโฆษาจารย์ เมื่อท่านเข้ามาในศรีลังกาแล้ว เล่าเรียนภาษาสิงหลได้อย่างรวดเร็ว

ได้รับการยอมรับในบรรดาพระเถระผู้ใหญ่ของศรีลังกา เมื่อท่านนำคัมภีร์ที่ท่านรวบรวมและแปลเป็นภาษาบาลีขึ้นถวายให้คณะสงฆ์พิจารณา จากนั้นก็ได้รับการยอมรับจากคณะสงฆ์ของศรีลังกาเป็นอย่างมาก

พุทธโฆษาจารย์ได้ทำการแปลพระคัมภีร์ต่างๆ ที่เป็นภาษาสิงหลออกสู่ภาษาบาลี ซึ่งเป็นภาษากลางของชาวพุทธสายเถรวาท

ไม่ว่าจะเป็นชาวพุทธในประเทศไทย พม่า มอญ เขมร ลาว หากเป็นเถรวาทแล้วก็จะใช้ภาษาบาลีเป็นหลักทั้งสิ้น

นี่เป็นคุณูปการที่แท้จริงของท่านพุทธโฆษาจารย์ที่มีต่อโลกชาวพุทธเถรวาท

 

แม้ศรีลังกาจะถือว่าประเทศของตนเป็นศูนย์กลางพุทธสายเถรวาท แต่คำสอนและคัมภีร์ต่างๆ ยังเป็นภาษาสิงหล ก็ยากที่ชาวพุทธสายเถรวาทในประเทศอื่นจะเข้าใจได้

ในงานที่ถือว่า เป็นงานอรรถกถาของท่านเองนั้น ก็มิได้นั่งเทียนเขียน หากแต่ศึกษาจากบรรดาอรรถกถาที่เป็นภาษาสิงหลที่มีอยู่ในขณะนั้น

น่าสนใจที่งานอรรถกถาชิ้นแรกที่พุทธโฆษาจารย์ศึกษาและรวบรวมเขียนขึ้น เป็นเรื่องสมันตปาสาทิกา คือ อรรถกถาอธิบายพระวินัย ทั้งนี้เพราะท่านเห็นความสำคัญในการสืบสานพระศาสนาว่า หากพระสงฆ์ไม่เข้าใจ ไม่ศึกษาพระวินัยให้ละเอียดลึกซึ้งแล้ว ในระยะยาวจะเป็นอันตรายต่อพระศาสนาได้

ในทางธรรม งานเด่นที่สุดของพุทธโฆษาจารย์เป็นเรื่องวิสุทธิมรรค ซึ่งอธิบายพระธรรมโดยละเอียดในประเด็นที่จะนำสู่การบรรลุธรรม

เมื่อมีชื่อเสียงมากขึ้น อรรถกถาจารย์รุ่นหลังบางทีก็จะอ้างว่าชื่อท่านไปใช้งานของตน นักวิชาการทางพุทธศาสนาปัจจุบันยอมรับกันว่า อรรถกถาที่เป็นงานของพุทธโฆษาจารย์เองมีเพียง 14 เรื่อง

เมื่อพูดถึงจุดเริ่มต้นของพุทธศาสนาเถรวาท ต้องไม่ลืมที่จะให้เครดิตกับท่านพุทธโฆษาจารย์ หากไม่มีผู้บันทึก ผู้แปล และรวบรวมออกเป็นภาษาบาลี ซึ่งเป็นภาษากลางของเถรวาทให้ชาวพุทธในประเทศอื่นได้ศึกษา บางทีเถรวาทก็อาจจะเกยตื้นที่เกาะศรีลังกาเสียละกระมัง

เสียดายอยู่อย่างหนึ่ง เมื่อท่านรวบรวมอรรถกถาของอาจารย์ซึ่งเป็นโบราณาจารย์ของศรีลังกาที่เป็นภาษาสิงหลเป็นฉบับของท่านแล้ว ท่านเผาคัมภีร์อรรถกถาของเดิมที่เป็นภาษาสิงหลทิ้งเสียหมด

ในฐานะนักวิชาการ เราก็เลยไม่สามารถสอบทานขึ้นไปได้ว่า ตรงไหนเป็นของเก่า ซึ่งอาจจะผิดถูกอย่างไรไม่ทราบได้

และส่วนไหนเป็นสิ่งที่ท่านพุทธโฆษาจารย์เข้าใจ ตีความเอาเอง

 

ท่านพุทธทาสเองก็เคยแสดงความเห็นแย้งกับการอธิบายของพุทธโฆษาจารย์ และท่านติงว่า เป็นความเข้าใจตามแบบพราหมณ์เดิมของท่านพุทธโฆษาจารย์เอง เช่น ในเรื่องการอธิบายปฏิจจสมุปบาทแบบข้ามภพข้ามชาติ เป็นต้น

งานสำคัญของพระสงฆ์ในสายเถรวาทอีกเรื่องหนึ่ง คือการศึกษา และรู้จักประวัติความเป็นมาของเถรวาท

และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ ต้องมีความตระหนักว่า เถรวาทนั้นเป็นคำขยายคำว่าชาวพุทธ คือเราเป็นชาวพุทธสายเถรวาท

รู้จักชั่งน้ำหนักระหว่าง ความเป็นพุทธกับความเป็นเถรวาท ต้องเอาความเป็นพุทธเป็นตัวตั้งเสมอ ถ้าเราเน้นความเป็นเถรวาทมากเกินไป เราจะทิ้งชาวพุทธส่วนใหญ่ที่เป็นสายมหายานและวัชรยาน ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องพิจารณา