รายงานพิเศษ / 3 ป. ในรัฐบาลใหม่ ‘ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์’ ในรัฐบาลหอย มองกองทัพ อาวุธลับ ‘บิ๊กตู่’ มอง ‘บิ๊กแดง’ องครักษ์สายบู๊ จับตา เสริมแกร่ง ผบ.เหล่าทัพ

รายงานพิเศษ

 

3 ป. ในรัฐบาลใหม่

‘ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์’ ในรัฐบาลหอย

มองกองทัพ อาวุธลับ ‘บิ๊กตู่’

มอง ‘บิ๊กแดง’ องครักษ์สายบู๊

จับตา  เสริมแกร่ง ผบ.เหล่าทัพ

บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังจะจารึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของตนเอง จากการเป็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ เป็นนายกฯ ที่มาจากการรัฐประหาร สู่การเป็นนายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้ง แม้จะไม่ใช่โดยตรง แต่ก็ถือว่ามาตามรัฐธรรมนูญ

ไม่ใช่แค่ พล.อ.ประยุทธ์ แต่รวมทั้งดรีมทีม คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ที่มีทั้งบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ กลับมาเป็นรองนายกฯ และ รมว.กลาโหม เช่นเดิม

และบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พี่รอง กลับมาเป็น รมว.มหาดไทย ตามเดิม

แต่ที่เพิ่มเติมคือ มาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ว่ารัฐธรรมนูญจะถูกวิจารณ์อย่างไร ไม่ว่าจะตั้งพรรคพลังประชารัฐ และชนะเลือกตั้งมาอย่างไรก็ตาม

แต่ก็ถือว่า มีชัยในสนามการเมือง ในศึกเลือกตั้ง ที่นักการเมืองรอมานาน 5 ปี ไม่ว่าตอนจบในอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ตาม

ครม.บิ๊กตู่ เฟส 2 จึงยังเป็นแผงอำนาจของพี่น้อง 3 ป.เช่นเดิม แต่ทว่า เป็นการกลับมาแบบเดินแอ่นอกได้มากขึ้น จากที่เป็นรัฐมนตรีทหาร ใน ครม.ทหาร จากการรัฐประหาร มาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

 

ท่ามกลางการจับตามองว่า พล.อ.ประยุทธ์จะเลือกใครมาเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี หลังจากที่บิ๊กอ้อ พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เพื่อน ตท.12 ที่ทำงานด้วยกันมา 5 ปี อยากที่จะวางมือ พักผ่อนกับครอบครัว

อีกทั้งเพื่อเปิดทางให้ พล.อ.ประยุทธ์หาเลขาฯ คนใหม่ เพราะด้วยรูปแบบรัฐบาลผสมใหม่ อาจต้องให้นักการเมืองเข้ามาช่วยงาน

แต่ดูเหมือน พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังหาตัวเลขาฯ ที่จะทำงานได้เหมือนเพื่อนอ้อก็ไม่ง่าย ครั้นจะเอานักการเมืองมาเป็นเลขาฯ ก็ยังคิดหนัก

เบื้องต้นจึงให้ พล.อ.วิลาศลาพักร้อนไป 2 สัปดาห์เสียก่อน หากในที่สุดจะต้องคัมแบ๊กมาช่วยงานอีกครั้ง

เพราะเพื่อนใน ตท.12 ต่างก็ยังหนุนให้ทำงานช่วย พล.อ.ประยุทธ์ต่อ

ขณะที่ พล.อ.ประวิตรมาคุมทั้งกองทัพและตำรวจต่อ เพื่อคงความต่อเนื่อง และทำให้กองทัพนิ่ง เพื่อเป็นฐานที่มั่นคงให้เก้าอี้นายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์

ในวันที่ไม่มีมาตรา 44 ในมือ ไม่มีกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) มาคอยช่วยอีกต่อไป

แต่ก็มีกองทัพบก และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ภายใต้การบัญชาการของ พล.อ.อภิรัชต์ ที่เป็นทั้ง ผบ.ทบ. และรอง ผอ.รมน. ที่ดูแลแทน ผอ.รมน. และนายกรัฐมนตรี

โดยเฉพาะ กอ.รมน. ที่ถูกมองว่าจะเป็นเสมือน กกล.รส. เพราะงานของ คสช.หลากหลาย ได้ถูกแปลงร่างอยู่ใน กอ.รมน.หมดแล้ว

เพราะตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ถือว่า พล.อ.ประวิตรก็เอากองทัพและตำรวจอยู่ ไม่มีปัญหาความขัดแย้งแตกแยกรุนแรงใดๆ ระหว่างขั้วหรือกลุ่ม แต่จะมีก็แค่การแข่งขันกันเป็นน้องรัก ลูกเลิฟของ พล.อ.ประวิตรเท่านั้น

 

ท่ามกลางการจับตามองไปที่บทบาทกองทัพ เมื่อมีรัฐบาลใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีนักการเมืองจากหลายพรรค ที่ล้วนเป็นเสือ สิงห์ กระทิง แรด

กองทัพที่ยังมี พล.อ.อภิรัชต์ ที่คุมเหล่าทัพใหญ่ที่สุด เป็นแกนนำหลัก ในการเป็นองครักษ์พิทักษ์บิ๊กตู่ จากเงื้อมมือนักการเมือง โดยเฉพาะฝ่ายค้าน

แม้จะไม่ใช่ “รัฐบาลหอย” ที่มีกองทัพเป็นเกราะเป็นเปลือกปกป้องคุ้มกันจากนักการเมือง แต่ก็ใกล้เคียง

แต่ที่ต้องรอดูคือ เมื่อใดที่ พล.อ.ประยุทธ์ถูกนักการเมืองโจมตี ด่าทอ หรือแฉ ไม่ว่าจะในสภาหรือนอกสภา โดยเฉพาะหากถูกเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น องคาพยพลายพราง ทั้งในส่วนของพี่ป้อม พี่ป๊อก และ พล.อ.อภิรัชต์ อาจจะต้องงัดโมเดลยุคป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ผู้ล่วงลับ เมื่อครั้งเป็นนายกฯ 8 ปี แต่รอดเงื้อมมือนักการเมืองมาได้

ดังนั้น กองทัพจึงจะยังคงเป็นอาวุธหลักของ พล.อ.ประยุทธ์ แทน ม.44 และเป็นอาวุธลับในปฏิบัติการต่างๆ ด้วย

โดยไม่มีใครรู้ว่า ปลายทางศึกในสนามการเมืองจะเป็นเช่นไร จบอย่างไร จบสวยหรือใม่ หรือจะยังอยู่ในวังวนเดิมๆ

แต่อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ เกมการเมืองก่อนที่จะมีรัฐบาลใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังเข้มข้นจากการต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีของพรรคร่วมรัฐบาล จนทำให้เคยเกิดข่าวลือการปฏิวัติตัวเอง หรือปฏิวัติซ้ำขึ้น

หลังจากที่ พล.อ.อภิรัชต์ ผบ.ทบ. และเลขาธิการ คสช. ขยับตัวไปทำเนียบรัฐบาล หลังจากที่ไม่ได้ไปมานาน

อีกทั้ง พล.อ.อภิรัชต์ไม่ได้ออกมาให้สัมภาษณ์แสดงความเห็นทางการเมือง หรือมีแอ๊กชั่นทางการเมืองใดๆ มาถึง 2 เดือน นับตั้งแต่ตั้งโพเดียมที่ พล.1 รอ. แถลงอัด “พวกซ้ายจัด อย่าดัดจริต คิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง” เมื่อ 2 เมษายน 2562

พอมาขยับด้วยการไปทำเนียบรัฐบาล จึงเชื่อกันว่า ไปพบ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะก็เป็นน้องรักสายตรงอยู่แล้ว

แถมทั้งเป็นช่วงที่มีการเคลื่อนย้ายกำลังทหารไปฝึกหลายหน่วย ทั้งขาไปและขากลับ จึงทำให้เกิดข่าวลือปฏิวัติรัฐประหาร

แม้ว่า พล.อ.อภิรัชต์จะยืนยันว่า ไปพบหารือบิ๊กอ้อ พล.อ.วิลาศ เลขาธิการนายกฯ เรื่องแผนพัฒนา พล.ร.11 ที่นำเข้า ครม.ก็ตาม

แต่ทว่า เมื่อไปถึงทำเนียบฯ ใครๆ ก็ย่อมเชื่อว่า น่าจะต้องขึ้นไปพบ พล.อ.ประยุทธ์

แต่โดยสถานการณ์แล้ว ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะนำไปสู่การรัฐประหาร การจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ หรือจัดสรรเก้าอี้ไม่ลงตัว ก็เป็นเรื่องปกติของการเมืองในช่วงจัดตั้งรัฐบาล

แม้การปฏิวัติจะเป็นแค่ข่าวลือ แต่บางฝ่ายก็มองว่า พล.อ.อภิรัชต์จงใจที่จะขยับเพื่อส่งสัญญาณขู่ถึงนักการเมือง หากไม่ยอมร่วมรัฐบาลและหนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี จนทำให้ พล.อ.อภิรัชต์ถึงขั้นขำ ที่ไปตีความกันถึงขั้นนั้น

เพราะในส่วนของแกนนำ คสช.เชื่อว่าจัดตั้งรัฐบาลได้แน่นอน ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย ก็มาร่วม และ พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นนายกฯ อีกสมัยอยู่แล้ว

ไม่มีสัญญาณใดๆ ที่จะนำไปสู่การปฏิวัติรัฐประหาร ทั้งปฏิวัติซ้ำ หรือปฏิวัติตัวเอง ให้ พล.อ.ประยุทธ์รีเซ็ตใหม่ ทั้งๆ ที่อยู่ในสถานการณ์ได้เปรียบหลังการเลือกตั้ง

และก็ไม่มีเหตุผลใดที่ พล.อ.อภิรัชต์จะปฏิวัติซ้อน ล้มล้าง พล.อ.ประยุทธ์ ในเมื่อทุกอย่างกำลังเข้าระบบ อีกทั้งการรัฐประหารในยุคนี้ แม้แต่ ผบ.ทบ.ก็ยังตัดสินใจคนเดียว หรือกระทำการเพียงลำพังไม่ได้

อีกทั้งในขณะที่การเมืองกำลังวุ่นๆ กันอยู่นั้น ครึ่งเดือนแรกของมิถุนายน บรรดา ผบ.เหล่าทัพก็มีภารกิจสำคัญในการเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรราชองครักษ์ เป็นเวลา 15 วัน เนื่องจากมีการเปลี่ยนรัชกาล

ที่ผนวกรวมหลักสูตรทหารรักษาพระองค์บางส่วน รวมเข้าไว้ในการฝึกด้วย เพื่อให้นายทหารในกองทัพมีลักษณะทางทหารในรูปแบบเดียวกัน ทั้งระเบียบวินัย การปฏิบัติ และการบริหารจัดการหน่วย

ที่ทำให้ทั้งบิ๊กณัฐ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกลาโหม บิ๊กกบ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.ทหารสูงสุด บิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. บิ๊กลือ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผบ.ทร. และบิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ต้องฟิตร่างกาย และเข้ารับการฝึกพร้อมกับนายทหารระดับผู้บัญชาการกองพล และผู้บังคับการกรมด้วย

แต่ไม่ใช่ปัญหา เพราะ ผบ.เหล่าทัพชุดนี้ล้วนฟิตทั้งสิ้น เช่น พล.อ.ณัฐ ก็มีการออกกำลังกายทุกเย็นจนถึงค่ำ และขี่จักรยานทางไกลเสมอๆ พล.อ.พรพิพัฒน์ ก็ฟิต ออกกำลังกายเสมอ ส่วน พล.ร.อ.ลือชัย ก็เป็นนักวิ่งมาราธอน และนักไตรกีฬา

ส่วน พล.อ.อภิรัชต์ นั้นฟิตอยู่แล้ว แถมทั้งทำห้องฟิตเนส ออกกำลังกาย Army Gym 641 ที่ชั้น 6 กองบัญชาการกองทัพบก ให้นายทหารใน บก.ทบ. รวมทั้งนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ได้ออกกำลังกาย ดูแลตัวเอง

 

พล.อ.อภิรัชต์ นั้นเป็น ผบ.หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ทม.รอ.) 904 ก็เข้าร่วมการฝึกหลักสูตรราชองครักษ์นี้ด้วย

รวมทั้งได้ทำหน้าที่ครูฝึกหลักสูตรทหารรักษาพระองค์อีกด้วย

คงมีเพียงบิ๊กต่าย พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน ผบ.ทอ. เท่านั้น ที่ไม่ต้องเข้ารับการฝึก เนื่องจากจะเกษียณราชการใน 30 กันยายนนี้แล้ว ขณะที่ ผบ.เหล่าทัพคนอื่น เหลืออายุราชการอีก 1-2 ปี

แต่ก็ออกมาปฏิบัติภารกิจต่างๆ ของแต่ละเหล่าทัพ รวมทั้งการทำหน้าที่ ส.ว.ในการโหวตเลือก พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ได้

ทั้งนี้ เพื่อให้ ผบ.เหล่าทัพปรับหน่วยของตนเอง ในการยึดทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ทม.รอ.) เป็นต้นแบบ

ที่ปัจจุบันมีการฝึกหลักสูตรทหารใหม่พระราชทาน สำหรับหน่วยในพระองค์ เป็นครั้งแรก จากนั้นก็จะนำหลักสูตรนี้มาใช้ในการฝึกทหารใหม่รุ่นต่อไป เพื่อให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันทุกเหล่าทัพ

ส่งผลให้ระบบสายการบังคับบัญชาของกองทัพ ใครที่จะขึ้นมาเป็น ผบ.เหล่าทัพ หรือ ผบ.หน่วยคุมกำลังสำคัญ จะต้องผ่านการฝึกหลักสูตรทหารรักษาพระองค์มาแล้วด้วย

 

จึงมีการคาดกันว่า บิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ. ตท.21 เพื่อนรุ่นน้องของ พล.อ.อภิรัชต์ จะได้ข้ามไปอยู่ บก.กองทัพไทย เพื่อเตรียมจ่อขึ้นเป็น ผบ.ทหารสูงสุด ในอนาคต เพราะผ่านหลักสูตรและเป็นรอง ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 อีกด้วย

แม้ว่าเวลานี้ในกองทัพไทย จะจับตาไปที่บิ๊กเบิร์ด พล.อ.ปริมณฑ์ ผลาสินธุ์ รองเสนาธิการทหาร จาก ตท.20 และบิ๊กแขก พล.อ.นเรนทร์ สิริภูบาล ผบ.สปท. ที่จะขึ้นมาเป็นคู่แข่งก็ตาม

แต่ยังมีเวลาที่จะพิจารณาร่วมกันว่า นายทหารคนใดเหมาะสมที่จะเป็น ผบ.ทหารสูงสุดในยุคนี้ เพราะคงไม่ใช่แค่ พล.อ.อภิรัชต์หารือกับ พล.อ.พรพิพัฒน์ แต่จะต้องถึงระดับ พล.อ.ประวิตรตัดสินใจเลยทีเดียว

    ตราบใดที่ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ ยังคุมอำนาจรัฐ และคุมกองทัพอยู่ ก็จะยังไม่มีอะไรน่าห่วง ยกเว้นแค่มีปัจจัยที่อยู่เหนือการควบคุมเท่านั้น