“คู่กรรมคู่เวร” ตลอดของเส้นทางการเมือง/ฉบับประจำวันที่ 7-13 มิถุนายน 2562

แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเข้าป้าย “นายกรัฐมนตรี” ตามที่คาดหมาย
แต่การที่ 7 พรรคการเมืองฟากประชาธิปไตย มีมติเสนอชื่อนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นคู่แข่งชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น
น่าสนใจ
นั่นคือ ถึงแม้นายธนาธรจะพ่ายแพ้
แต่ก็เป็นการแพ้อย่างมีการบริหารจัดการ “ทางการเมือง”
ซึ่งก็เป็นอย่างที่พรรคเพื่อไทย (พท.) ที่มี ส.ส.มากเป็นอันดับ 1 ประเมิน
นั่นคือ หากพรรคเสนอชื่อแคนดิเดตของพรรค ไม่ว่าจะเป็นคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ หรือนายชัยเกษม นิติสิริ ไปแข่งกับ พล.อ.ประยุทธ์ โอกาสที่จะชนะมีน้อย
และส่งผลสะเทือนทางการเมืองจะมีน้อย
ต่างจากนายธนาธร แม้จะแพ้ แต่มีผลสะเทือนกว่า

ทั้งนี้เพราะนายธนาธรได้ประกาศตัวอย่างชัดเจน เด็ดขาด ว่าจะขัดขวางการสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ การนำทหารกลับเข้ากรมกอง และแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย
โดยนำเสนอประเด็นนี้เข้าสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งก็ปรากฏว่า มีการตอบสนองอย่างกว้างขวาง
นำมาสู่การได้เสียงสนับสนุนเกินความคาดหมาย
ถือเป็นธงแห่งอนาคตใหม่ ที่เหมาะสมกับการที่จะอยู่ภายใต้การนำของนายธนาธร
ซึ่งการนำเสนอนี้ ทั้ง 7 พรรครู้ดีว่านายธนาธรมีจุดอ่อน
นั่นคือ ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้นายธนาธรหยุดปฏิบัติหน้าที่การเป็น ส.ส.ระหว่างรอการวินิจฉัย กรณีถูกกล่าวหาว่าถือหุ้นในบริษัทสื่อ
อันจะเป็นประเด็นให้ฝ่ายสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ หยิบขึ้นมาโจมตีและสกัดกั้นนายธนาธรไม่ให้เป็นคู่แข่งชิงนายกฯ อย่างแน่นอน
แต่นั่นดูเหมือนจะเป็นเกมที่พรรคอนาคตใหม่รอ
และต้องการให้ประเด็นคุณสมบัตินี้ระเบิดขึ้นก่อนถึงวาระเลือกนายกรัฐมนตรี
เพื่อที่จะย้อนเกล็ด พล.อ.ประยุทธ์
รวมถึงต้องการแสดงให้เห็นว่า มีการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมกันในเรื่องคุณสมบัติ ส.ส.อย่างไร

อีกด้านนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ พร้อมด้วย ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ทั้ง 80 คน
ยังยื่นญัตติให้สภาผู้แทนราษฎรมีการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี
โดยเฉพาะถูกกล่าวหาว่าเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ซึ่งต้องห้ามไม่ให้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ
หรือการจุดพลุการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
การ เรียกร้องให้เปิดเผยรายชื่อคณะกรรมการสรรหาและกระบวนการสรรหา ส.ว. ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน
เพื่อโยงให้เห็นว่า ส.ว.ที่ได้รับการสรรหา ส.วมีผลประโยชน์ทับซ้อน
พร้อมการเปิดโปงการเสนอเงินให้กับ ส.ส.ในสภาล่าง เพื่อเป็น “งูเห่า” แปรพักตร์ไปสนับสนุนฝ่ายรัฐบาล
ด้วยตัวเลข ตั้งแต่ 25 ล้านบาท ถึง 120 ล้านบาท
เหล่านี้ ล้วนเป็นเรื่องร้อนและมุ่งดิสเครดิตพล.อ.ประยุทธ์
เป็นดังการโหมโรง อภิปรายไม่ไว้วางใจ
โดยวางชื่อของนายธนาธรประกบคู่ไปกับพล.อ.ประยุทธ์ อย่างจงใจ
และแน่นอนคงไม่ได้จบลงแค่การชิงตำแหน่งนายกฯ เท่านั้น
หากแต่จะดำรงเป็น “คู่กรรมคู่เวร” ไปโดยตลอดของเส้นทางการเมือง
จนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้ไป
แน่นอนย่อมต้องปะ “กำ”ปั้นเข้าใส่กัน
ทั้งประเด็นร้อนในเบื้องหน้า
และร้าวลึกไปถึงการปะทะในแนวรบความคิดระหว่างรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่
อนุรักษ์ กับเสรีนิยม!
———————————-