โลกหมุนเร็ว /เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง/สามเล่มที่งดงาม

โลกหมุนเร็ว/เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง [email protected]

สามเล่มที่งดงาม

ใช้เวลาอ่านสามเดือนเต็มแบบไม่ต่อเนื่องเพราะอยากจะซึมซับทุกตัวอักษร

ขอบคุณผู้แปล คุณรสนา โตสิตระกูล และคุณสันติสุข โสภณสิริ อย่างที่สุดสำหรับการแปลความงดงามทุกตัวอักษร และกราบหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ ที่ได้รจนาหนังสือประวัติพระพุทธเจ้าที่ขอยกให้เป็นคลาสสิคของโลกสามเล่มนี้

Old Path White Cloud หรือ “คือเมฆสีขาว ทางก้าวเก่าแก่” มีบทสรุปในตอนท้ายถึงคำว่า คือเมฆสีขาว ทางก้าวเก่าแก่ ว่ามีที่มาจากไหน ความเป็นกวีบนร้อยแก้วในหนังสือเล่มนี้นำเราไปสู่ก้อนเมฆสีขาวที่ปรากฏอยู่ทั่วไปอย่างงดงามบนท้องฟ้า และรอยพระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ย่างพระบาทไปในทุกหนแห่งในชมพูทวีป

และเราทุกคนก็ได้ก้าวไปบนรอยเท้านั้นได้เช่นกัน

หากใครที่ได้มีโอกาสไปเที่ยวชมและบูชาสังเวชนียสถานทั้งสี่แห่งในประเทศอินเดียก็เท่ากับได้ก้าวไปบนเส้นทางเก่าแก่บนรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าเช่นกัน

 

ความอัศจรรย์ของหนังสือทั้งสามเล่มคือการเก็บทั้งคำสอน ลำดับเหตุการณ์ ตัวละคร และบรรยากาศในพุทธประวัติไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยลีลาของการเล่าเรื่องที่มีชีวิตชีวา บัดนี้พระพุทธองค์อยู่ไม่ไกลจากเรา พูดอีกอย่างเรานั้นอยู่ใกล้พระพุทธองค์ หากเราสามารถทำให้พระพุทธองค์อยู่ในตัวเราได้

หลวงปู่ติช นัท ฮันห์ มีกลวิธีในการเล่าเรื่องที่ลึกซึ้งให้สนุกสนาน

เหมือนนิยายชีวิตของคนคนหนึ่งที่มีตัวประกอบทุกตัวที่เราเคยรู้จักมาแล้วมากมายรายล้อม

ไม่ว่าจะเป็น… ประวัติชีวิต แทรกด้วยคำสอน แทรกด้วยพระสูตร

ด้วยวิธีการเดินเรื่องผ่านพัฒนาการของตัวละครหลักที่เป็นเด็กเลี้ยงควายแล้วกลายมาเป็นพุทธสาวกในที่สุด

ด้วยการเริ่มต้นที่ริมฝั่งน้ำเนรัญชรา เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังจะตรัสรู้ ตัวละครเด็กเลี้ยงควายได้นำหญ้ามาปูลาดให้เจ้าชายสิทธัตถะประทับนั่ง ได้เป็นผู้รู้เห็นการตรัสรู้ของพระสมณโคดม

และเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน เด็กเลี้ยงควายที่เป็น “พระสวัสติ” แล้วก็ได้เดินทางกลับมาที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชลา และมองดูเหล่าเด็กเลี้ยงควายทั้งหลายเป็นประดุจภาพสะท้อนของตนเอง

ซึ่งในตอนนี้ผู้อ่านที่อ่านมาตั้งแต่ต้นจนจบจะรู้ได้ทันทีถึงกงล้อธรรมจักรที่หมุนไปเรื่อยไม่มีวันหยุด

 

ด้วยวิธีเล่าเรื่องที่ย้อนไปมาอย่างแนบเนียน เพื่อให้ผู้อ่านได้ติดตามพุทธประวัติอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ผู้รจนาได้ให้ตัวละครที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นรับฟังเรื่องราวจากผู้อยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ อีกที เช่นนี้ภาพทั้งหมดก็ถูกร้อยเรียงปะติดปะต่ออย่างครบสมบูรณ์

ด้วยวิธีดำเนินเรื่องในตอนจบที่มิได้จบเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน แต่กล่าวถึงการสังคายนาพระไตรปิฎก กล่าวถึงการออกจาริกเผยแผ่ธรรมของพุทธสาวก ยิ่งตอกย้ำถึงกงล้อแห่งธรรมที่หมุนไปเรื่อยๆ ตอกย้ำถึงการที่เราทุกคนสามารถก้าวย่างไปบนรอยพระบาทได้ และเป็นดั่งพุทธได้

“ผู้คนกล่าวว่าพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว แต่พระสวัสติกลับมองเห็นพระพุทธเจ้าปรากฏชัดกว่าที่เคย พระองค์ท่านประทับอยู่ภายในจิตใจและร่างกายของพระสวัสติ พระพุทธองค์ทรงปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่งที่พระสวัสติมองดู อยู่ในต้นโพธ์ อยู่ในแม่น้ำเนรัญชรา อยู่ในหญ้าเขียวขจี อยู่ในเมฆขาว และอยู่ในใบไม้ เหล่าเด็กเลี้ยงควายกำลังเริ่มตัดหญ้าอยู่ฝั่งแม่น้ำนั้นก็เป็นพระพุทธเจ้า…”

 

สิ่งที่หลวงปู่ติช นัท ฮันห์ ต้องการสื่อสารในหนังสือสามเล่มนี้คือความเป็นมนุษย์ของพระพุทธเจ้า ความพิเศษของพระพุทธองค์คือการตรัสรู้และค้นพบอริยมรรคให้เราได้เดินตามเพื่อการพ้นทุกข์

“เมล็ดพันธุ์แห่งต้นโพธิ์ได้ถูกหว่านโปรยตลอดลุ่มน้ำคงคา และเติบโตหยั่งรากลึกเป็นไม้ใหญ่ที่แข็งแรง ไม่มีใครเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าและอริยมรรคแห่งมหาโพธิญาณเมื่อสี่สิบห้าปีก่อน แต่ปัจจุบันผ้ากาสาวพัสตร์แห่งภิกษุสาวกและภิกษุณีได้กลายเป็นสิ่งคุ้นตา เดี๋ยวนี้มีสำนักปฏิบัติธรรมตั้งขึ้นมากมายหลายแห่ง พระมหากษัตริย์และสมาชิกในพระราชวงศ์ได้รับเอาพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ซึ่งรวมถึงบัณฑิตและข้าราชการด้วย คนยากจนและสมาชิกในวรรณะชั้นต่ำสุดในสังคมก็ได้พบที่พึ่งในอริยมรรคแห่งมหาสัมโพธิญาณ”

แล้วผู้อ่านอย่างเราเล่าได้อะไรจากการอ่านสามเล่มที่งดงามนี้

 

เราได้เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีเลือดเนื้อเดินอยู่ปะปนกับผู้คน จาริกไปตามที่ต่างๆ สั่งสอนคน มีจริยวัตรงดงาม มีเมตตาธรรม สามารถมองลึกเข้าไปถึงจิตใจ ความทุกข์ของบุคคลต่างๆ ในบางคราวทรงต้องแก้ปัญหาการปกครอง การเมือง ความมุ่งร้ายของผู้อิจฉาริษยา เป็นพระพุทธเจ้าที่มีจริยวัตรของมนุษย์ผู้สูงส่งเป็นพิเศษ

ไม่ใช่พระพุทธรูปที่เราเห็นอยู่ตามวัดต่างๆ

หลวงปู่ติช นัท ฮันห์ บอกเราว่า “เดินตามพระพุทธองค์สิ” เหมือนดังเช่นที่พระพุทธองค์กล่าวปัจฉิมวาจาว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ตถาคตขอกล่าวเตือนท่านทั้งหลายว่า สภาพธรรมทั้งปวงล้วนเป็นอนิจจัง เมื่อมีเกิดย่อมมีตาย ท่านทั้งหลายจงประกอบความเพียรให้ถึงพร้อมเพื่อไปสู่ความหลุดพ้นด้วยความไม่ประมาทเถิด”

เพราะฉะนั้น เมื่ออ่านทั้งสามเล่มจบ สิ่งที่ได้คือการเดินตามรอยพระพุทธองค์ด้วยการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ทำชีวิตให้สุขสงบ ช่วยเหลือผู้อื่น รู้เท่าทันกิเลสภายในใจและสิ่งล่อใจภายนอก ทำปัจจุบันให้ดีและถูกต้อง ใช้สัมมาทิฏฐิเป็นเครื่องชี้นำ

ไม่ปล่อยให้ตัวเองหลงใช้เวลาครุ่นคิดกับอภิปรัชญาเช่นดังนักบวชหลากหลายในลัทธิต่างๆ ในสมัยพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงไม่เคยเสียเวลาตอบคำถามที่เป็นอภิปรัชญาเลย เพราะไม่ใช่เครื่องมือที่ช่วยให้มนุษย์พ้นทุกข์

สามเล่มที่งดงามนี้ตอกย้ำให้เราพึ่งพาตัวเอง ฝึกฝน และปฏิบัติ ทำได้ดีแค่ไหน ไม่มีใครตรวจสอบ เราเองเท่านั้นที่รู้ดี ว่าเราดีแล้วหรือยัง