มรสุมพัดผ่าน “จันทร์โอชา” “บิ๊กติ๊ก” น้อง “บิ๊กตู่” งานเข้า ถูกครหาซุกคฤหาสน์หลังใหม่

ทั้งๆ ที่ก็ล่วงเลยชีวิตราชการ ถอดเครื่องแบบทหาร และใช้ชีวิตในวัยเกษียณ มาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว เป็น “คุณปู่ติ๊ก” ที่มีเวลาเลี้ยงหลานๆ เป็นคนสวนตัดหญ้าที่บ้านตามที่ตั้งใจไว้

แต่วิบากกรรมที่เกิดกับ “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา อดีตปลัดกระทรวงก
ลาโหม น้องแท้ๆ ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ยังไม่จบ

ไม่จบไม่สิ้น จน พล.อ.ปรีชา ต้องออกมาบ่นๆ ผ่านสื่อว่า “ไม่รู้จะอะไรกับผมนักหนา”

เพราะล่าสุดโดน “วีระ สมความคิด” เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น (คปต.) แฉผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า เป็นข้อมูลที่ถูกส่งมาจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ จ.พิษณุโลก

เป็นข้อมูลเกี่ยวกับคฤหาสน์หลังใหญ่ราคาหลายสิบล้าน ตั้งบนที่ดินผืนใหญ่ 2 ผืนติดกัน เนื้อที่ 5 ไร่ อยู่ในซอยพระองค์ขาว (ซอย 5) หลังวัดอรัญญิก ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลก ไม่ปรากฏเลขที่บ้าน ทั้งๆ ที่สร้างตั้งแต่ปี 2557 โดยเจ้าของบ้านและครอบครัวย้ายเข้ามาอยู่ตั้งแต่ต้นปี 2559 และมีการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ไปไม่นานประมาณ 3 เดือนที่แล้ว

และจากการส่งคณะทำงานเดินทางลงไปตรวจสอบ ได้รับคำยืนยันจากชาวบ้านในละแวกดังกล่าวว่า เป็นบ้านของ พล.อ.ปรีชา และ “มาดามอู๊ด” นางผ่องพรรณ จันทร์โอชา ภรรยา

นายวีระ ระบุด้วยว่า ถ้าเป็นจริง ต้องถามคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า พล.อ.ปรีชา ได้แจ้งคฤหาสน์หลังนี้ไว้ในการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. หรือไม่ หรือคฤหาสน์หลังนี้ใช้ชื่อผู้ใดเป็นเจ้าบ้าน เพราะการที่มีคฤหาสน์ใหญ่โตแต่กลับไม่มีเลขที่ติดอยู่หน้าบ้าน เหมือนต้องการปกปิดอะไร หลังจากไปขอออกเลขบ้านจากทางราชการแล้ว ต้องติดเลขที่บ้านให้ชัดเจนไม่ใช่หรือ

 

ข่าวครึกโครมอยู่ไม่ถึงวัน “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ก็ต้องออกมาชี้แจงยอมรับ

“ไม่ใช่คฤหาสน์ใหญ่โต ไม่ได้สร้างบนที่ดิน 5 ไร่ตามที่เป็นข่าว ที่ดิน 1 ไร่ครึ่งเท่านั้น ซื้อตั้งแต่ปี 2554 มาปลูกบ้านเมื่อปี 2557 ใช้เวลาปลูกนาน 2 ปี เป็นบ้านที่ตั้งใจปลูกเพื่อใช้ชีวิตหลังเกษียณราชการ อยู่กับครอบครัว ภรรยา และลูก 2 คน ส่วนเลขที่บ้านก็ขอไปนานแล้ว แต่เพิ่งได้เดือนธันวาคมนี้เอง”

ส่วนเรื่องการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. นั้น พล.อ.ปรีชา ระบุว่า “ที่ดินได้แจ้งไปแล้ว เพียงแต่เพิ่งมาก่อสร้างบ้าน” ก่อนที่จะมาชี้แจงเพิ่มเติมอีกว่า “เหมือนเป็นข้าราชการให้แจ้งทรัพย์สินเป็น 3 ช่วง คือ ในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง ช่วงพ้นจากตำแหน่ง และพ้นจากตำแหน่ง 1 ปี เดี๋ยวแจ้งเพิ่มเติม ก็ไม่มีปัญหา”

ทั้งนี้ ต้องเข้าใจว่า เหตุที่ พล.อ.ปรีชา ถูกตั้งคำถามในประเด็นการแจ้งบัญชีทัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. เพราะยังกินเงินเดือนเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ตำแหน่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เป็นแม่ทัพภาคที่ 3 เรื่อยมาจนเกษียณอายุราชการก็ยังเป็นอยู่

และเมื่อยื่นแล้ว ป.ป.ช. ก็จะต้องเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อสาธารณชนด้วย

 

ซึ่งกรณีที่นายวีระ ตั้งข้อสงสัยก็คล้ายๆ กรณีที่ พล.อ.ปรีชา และนางผ่องพรรณ เคยถูกจับผิด และถูกตรวจสอบมาแล้ว โดยเฉพาะเรื่อง “การแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน” ในกรณีบัญชีเงินฝากของสหกรณ์ออมทรัพย์ของกองทัพภาคที่ 3 จำนวน 46.99 ล้านบาทมาแล้วครั้งหนึ่ง

แม้ที่สุด มติ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2558 จะทำให้ พล.อ.ปรีชา และภรรยา รอดพ้นข้อกล่าวหา ไม่ได้จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือมีเจตนาปกปิดข้อเท็จจริง ตามมาตรา 34 ของกฎหมาย ป.ป.ช.

แต่ก็ถือเป็นกรณีเริ่มต้นนำไปสู่การตั้งข้อสงสัยต่อตัว พล.อ.ปรีชา และครอบครัวในกรณีอื่นๆ

ทั้งกรณีที่มีเอกสารลับรั่วออกมาว่า พล.อ.ปรีชา ปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อนุมัติให้ นายปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา “ลูกชายคนเล็ก” เข้ารับราชการทหารเป็น ว่าที่ ร.ต. สังกัดกองทัพภาคที่ 3 เป็นกรณีพิเศษโดยไม่มีการจัดสอบ

หรือทั้งกรณี “ฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนา” อันโด่งดัง ที่มีต้นเรื่องมาจากภาพข่าวกิจกรรมของสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ที่นางผ่องพรรณ นำคณะไปเปิดฝายกั้นชะลอลำน้ำห้วยต้นผึ้ง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่

เลยเถิดไปถึงการจับผิดกรณีที่กระทรวงกลาโหมขอสนับสนุนเครื่องบิน C 130 ของกองทัพอากาศ เพื่อเดินทางไปเปิด “ฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนา” ที่ จ.เชียงใหม่ โดยในเอกสารระบุว่า เป็นภารกิจคณะของปลัดกระทรวงกลาโหม มิใช่คณะของสมาคมภริยาฯ

 

จนนักร้องมือดีอย่าง นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบ พล.อ.ปรีชา และนายทหารระดับสูงอีก 3 คน กรณีใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ในระหว่างเดินทางให้แก่นางผ่อนพรรณหรือไม่

ไม่เพียงแค่นั้น กรณี “ฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนา” ยังเป็น “กระดานหก” นำไปสู่การขุดคุ้ยบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ที่ชื่อ “หจก.คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น” ที่มี นายปฐมพล จันทร์โอชา “ลูกชายคนโต” ของ พล.อ.ปรีชา เป็นหุ้นส่วนด้วย กระทั่งพบว่า เข้าไปรับงานก่อสร้างในส่วนราชการ รวมเป็นเงิน 155 ล้าน ทั้งๆ ที่มีทุนจดทะเบียนเพียง 1.5 ล้านบาทเท่านั้น

และใน 155 ล้านบาทนั้น มีเงินที่ได้จากงานก่อสร้างให้กองทัพภาคที่ 3 จำนวน 2 โครงการ นั่นคือ การสร้างอาคารค่ายพ่อขุนผาเมือง และตึกแถวนายทหารประทวน โรงพยาบาลค่ายวชิรปราการ ในช่วงปี 2558-2559 รวมอยู่

ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบเอกสารหลักฐานยืนยันว่า มีการใช้บ้านพักในค่ายทหารจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเพื่อทำการค้าอีก จนเป็นประเด็นใหญ่ ท้าทาย พล.อ.ปรีชา ที่ ณ วันนั้นใกล้จะเกษียณอายุราชการอีกไม่กี่วันแล้ว และยังถูกท้าทายอย่างต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้

 

ล่าสุด นักร้องเจ้าเก่า นายศรีสุวรรณ ที่ได้ตามติดยื่นเรื่องร้อง พล.อ.ปรีชา และครอบครัว ก็ประกาศยื่นเรื่องร้อง ป.ป.ช. ให้สอบเพิ่มอีกกระทง หลังจากที่เคยร้องเรียนและอยู่ในระหว่างการพิจารณาหลายสำนวน

ทั้งกรณีเอื้อประโยชน์แก่ภรรยาในการเดินทางไปเปิดฝาย ทั้งกรณีที่ถูกกล่าวหาในเรื่องผลประโยชน์ จากกรณีรับเหมางานในกองทัพที่ 3 และเรื่องการประพฤติที่ไม่เหมาะสม หลังลูกชายคนโตนำบ้านพักราชการไปจดทะเบียนเพื่อทำการค้าประมูลงานก่อสร้าง รวมไปถึงการยื่นร้องจริยธรรมต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีที่อนุมัติให้ลูกชายคนเล็กเข้าเป็นนายทหารด้วย

โดยนายศรีสุวรรณ ระบุว่า การปรากฏเป็นข่าวว่า พล.อ.ปรีชา มีคฤหาสน์ แต่ยังไม่ได้แจ้งให้ ป.ป.ช. ทราบ จึงอาจเข้าข่ายความผิด คือ “จงใจปกปิดข้อเท็จจริงของทรัพย์สินที่ควรแจ้งให้ทราบ” ตามมาตรา 39(15) ประกอบมาตรา 32, 33 และ 35 ของกฎหมาย ป.ป.ช.

จึงทำให้ กรณี “คฤหาสน์ใหม่” เมืองพิษณุโลกสองแคว กลายเป็นมรสุมพัดผ่านตระกูล “จันทร์โอชา” อีกระลอกหนึ่ง!!!